แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยถูกโจทก์ร่วมแทงที่ไหปลาร้า จำเลยโกรธ ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แล้วกลับมาที่ร้านของตนเล่าเรื่องให้ภริยาทราบ เอาปืนจากร้านตนกลับไปยิงโจทก์ร่วมที่บริษัทที่โจทก์ร่วมอยู่ เมื่อในขณะที่จำเลยยิงโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่ได้ทำร้ายหรือกำลังจะทำร้ายจำเลยจึงไม่มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและถือไม่ได้ว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อสู้ข่มเหงในขณะที่ถูกข่มเหงจึงไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80,91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุก 12 ปี และผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับ 1,200 บาท รวมจำคุก 12 ปี ปรับ1,200 บาท คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 8 ปี และปรับ 800 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุเล็กน้อยจำเลยถูกโจทก์ร่วมที่ 2 ใช้มีดทำร้ายที่คอด้านหน้าแถบซ้ายปรากฏตามภาพถ่ายหมาย ล.2 และรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผล เอกสารหมาย ล.4 จำเลยไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลสำเหร่ซึ่งห่างที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร เจ้าพนักงานตำรวจบอกให้จำเลยไปทำแผลก่อน จำเลยไปที่ร้านที่สองของจำเลยซึ่งภริยาจำเลยอยู่ที่ร้านนั้น นางโศภนิศภริยาจำเลยจะไปที่บริษัทของโจทก์ร่วมที่ 1เพื่อเจรจากับโจทก์ร่วมที่ 2 จำเลยจึงติดตามภริยาจำเลยไปที่บริษัทของโจทก์ร่วมที่ 1 พร้อมทั้งเอาอาวุธปืนไปด้วย เมื่อถึงบริษัทของโจทก์ร่วมที่ 1 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกโจทก์ร่วมทั้งสองและเด็กหญิงเนตร บัวบุญ เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บปรากฏตามใบชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เดิมทีแรก จำเลยถูกโจทก์ร่วมที่ 2 แทงที่ไหปลาร้าจำเลยก็โกรธ มาเอาอาวุธปืนจากร้านของตนไปบริษัทที่โจทก์ร่วมที่ 2อยู่ แล้วไปยิงโจทก์ร่วมที่ 2 รูปคดีเชื่อได้ตามคำพยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจำเลยตั้งใจไปยิงโจทก์ร่วมที่ 2 และในขณะที่จำเลยยิงโจทก์ร่วมที่ 2 โจทก์ร่วมที่ 2 ไม่ได้ทำร้ายหรือกำลังจะทำร้ายจำเลยจึงไม่มีภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายโดยละเมิดต่อกฎหมายที่ใกล้จะถึงจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตัวตามกฎหมาย จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ศาลชอบที่จะลดหย่อนโทษลงให้จำเลยนั้น เห็นว่ากรณีที่จะเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72นั้น ผู้บันดาลโทสะจะต้องกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะที่ถูกข่มเหงนั้นข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่าเมื่อจำเลยถูกโจทก์ร่วมที่ 2แทงทำร้ายแล้ว จำเลยได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แล้วกลับมาที่ร้านของตนเล่าเรื่องให้ภริยาของตนฟัง แล้วจำเลยจึงกลับมายิงที่บริษัทที่โจทก์ร่วมที่ 2 อยู่ การกระทำผิดของจำเลยถือไม่ได้ว่ากระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะที่ถูกข่มเหง กรณีไม่อาจลดโทษให้จำเลยด้วยเหตุบันดาลโทสะได้ แต่เห็นว่า การทำร้ายของโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยก่อเหตุคดีนี้ขึ้น แม้ไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายศาลฎีกาก็เห็นสมควรวางโทษจำเลยสถานเบา
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ให้จำคุก 10 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน เมื่อรวมโทษฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วเป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือนปรับ 800 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์