แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทโจทก์มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นผู้ประกอบการค้าที่ดินได้ซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งโรงเก็บวัสดุ โรงซ่อมและสำนักงาน อันเป็นการซื้อเพื่อใช้ที่ดินเกี่ยวกับการค้าหรือกิจการของโจทก์ซึ่งเป็นนายช่างกล ช่างหล่อหลอม หรือช่างทำเครื่อง ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์ ต่อมาทางราชการเวนคืนที่ดินดังกล่าวบางส่วนเพื่อสร้างถนนทำให้ที่ดินถูกแบ่งเป็น 2 แปลง โจทก์ย้ายโรงเก็บวัสดุและโรงซ่อมไปอยู่ที่อื่น แล้วขายที่ดินดังกล่าวไป แม้จะนำเงินที่ได้จากการขายเข้าบัญชีรายได้ของโจทก์ ก็เป็นการนำเข้าบัญชีเพื่อที่จะคำนวณเป็นภาษีเงินได้ของโจทก์เท่านั้นไม่เป็นการประกอบการค้าที่ดิน ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ในประเภทการค้า 11การค้าอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลรัษฎากร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2487 โจทก์ซื้อที่ดินเนื้อที่ 7 ไร่เศษ เพื่อใช้และได้ใช้เป็นสถานที่ทำการและสถานที่เก็บและบำรุงรักษาเครื่องมือของโจทก์เพื่อดำเนินการก่อสร้างงานวิศวกรรมของโจทก์ตรงตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ตามที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2508 ที่ดินโจทก์ถูกทางราชการเวนคืนไปบางส่วนเพื่อสร้างถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ทำให้ที่ดินโจทก์ถูกแบ่งเป็น 2 แปลง แปลงหนึ่งโจทก์ใช้ทำสำนักงานอีกแปลงหนึ่งใช้เป็นที่เก็บของและโรงซ่อม ต่อมากิจการของโจทก์เจริญขึ้นทำให้โรงซ่อมและที่เก็บของไม่พอ ประกอบกับมีปัญหาเรื่องการจราจร โจทก์จึงย้ายโรงซ่อมและที่เก็บของไปที่อื่น หมดความจำเป็นที่จะต้องใช้ที่ดินหากจะเก็บไว้ก็สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เมื่อเดือนเมษายน 2516 โจทก์จึงขายที่ดินที่ตั้งโรงซ่อมและเก็บของเป็นเงิน 11,800,000 บาท การขายที่ดินดังกล่าวเป็นการขายเมื่อโจทก์ไม่ใช้ที่ดินแล้ว ไม่ได้ทำการค้าที่ดินแต่อย่างใดและโจทก์ได้เสียภาษีเงินได้แล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีการค้าในการขายที่ดินจากโจทก์ ให้โจทก์เสียภาษีการค้า เงินเพิ่ม เบี้ยปรับ และภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน 1,040,347 บาท โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์โจทก์ แต่ลดเบี้ยปรับคงให้โจทก์เสียภาษีเป็นเงิน 813,197 บาท ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อเท็จจริงเพราะโจทก์ไม่ได้ทำการค้าที่ดิน จึงฟ้องขอให้พิพากษายกเลิกการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่ดินตามวัตถุประสงค์ของโจทก์เข้าลักษณะเป็นการค้าหากำไร จึงต้องเสียภาษีการค้า แต่โจทก์มิได้เสียภาษีการค้า ดังนั้นการประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นผู้ประกอบการค้าที่ดิน โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดที่ 3012 ก็เพื่อใช้เป็นที่ตั้งโรงเก็บวัสดุ ตั้งโรงซ่อมและตั้งสำนักงานของโจทก์ เป็นการซื้อเพื่อใช้ที่ดินเกี่ยวกับการค้าหรือกิจการของโจทก์ซึ่งเป็นนายช่างกล ช่างหล่อหลอม หรือช่างทำเครื่อง เป็นการซื้อตามวัตถุประสงค์ตามหนังสือบริคณห์สนธิ ครั้นเมื่อทางราชการเวนคืนที่ดินโฉนดที่ 3012 บางส่วนเพื่อสร้างถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่ดินโฉนดที่ 3012 ถูกแบ่งเป็น 2 แปลง แปลงทางใต้ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ซึ่งโจทก์ใช้เป็นที่ตั้งโรงเก็บวัสดุและโรงซ่อมได้รับหมายเลขโฉนดเดิมคือโฉนดที่ 3012 โจทก์ขายที่ดินโฉนดที่ 3012 ให้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หลังจากที่โจทก์ได้ย้ายโรงเก็บวัสดุโรงซ่อมของโจทก์ในที่ดินโฉนดที่ 3012 ไปตั้งอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่าไว้ที่ถนนสุขุมวิทซอย 105 ที่ดินโฉนดที่ 3012 ถูกทิ้งว่างเปล่าอยู่ เห็นได้ว่า โจทก์ไม่ต้องการใช้ประโยชน์ที่ดินโฉนดที่ 3012 แต่กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาการขายที่ดินโฉนดที่ 3012 จึงเป็นการขายตามวัตถุประสงค์ตามหนังสือบริคณห์สนธิของโจทก์ ทั้งได้ความว่าโจทก์ไม่เคยได้ขายที่ดินแปลงอื่นอีก จึงฟังไม่ได้ว่าการขายที่ดินโฉนดที่ 3012 ของโจทก์เป็นการประกอบการค้าที่ดิน อนึ่งแม้โจทก์จะนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวแล้วเข้าบัญชีรายได้ของโจทก์ก็เป็นการนำเข้าบัญชีเพื่อที่จะคำนวณเป็นภาษีเงินได้ของโจทก์เท่านั้น เหตุดังกล่าวไม่ทำให้ฟังได้ว่าโจทก์ขายที่ดินโฉนดที่ 3012 เป็นการประกอบการค้าที่ดิน โจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ในประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งประมวลรัษฎากร
พิพากษายืน