แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
พยานหลักฐานใดควรจะนำมาวินิจฉัยรับฟังได้หรือไม่นั้นย่อมเป็นดุลพินิจของศาลซึ่งต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหากเป็นพยานแวดล้อมกรณีก็ต้องพิจารณาว่าเป็นพยานที่รู้เห็นใกล้ชิดเหตุการณ์สถานที่อันจะบ่งชี้ได้โดยแน่นอนเมื่อปรากฏว่าก.พยานโจทก์ที่ศาลไม่นำมารับฟังไม่ใช่พยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ประกอบกับพยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ปากอื่นๆของโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้แล้วการที่ศาลไม่นำคำเบิกความของก.มารับฟังเป็นพยานประกอบพยานอื่นจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย. ฎีกาข้อที่ว่าคำพยานที่เบิกความมีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่นั้นเป็นการคัดค้านดุลพินิจการรับฟังพยานจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์และร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงฆ่าเจ้าทรัพย์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,289,339,340ตรีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่11ลงวันที่21พฤศจิกายน2514ข้อ14,15พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่5)มาตรา13ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
มารดาผู้ตายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเงินของกลางฟังไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดไม่ริบโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาของโจทก์ร่วมเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาไม่รับฎีกา
โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของศาลชั้นต้น
ศาลฎีกามีคำสั่งว่าโจทก์ร่วมฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มิได้นำหลักฐานทั้งหมดของโจทก์มาวินิจฉัยชั่งน้ำหนักทั้งยังวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกคำพยานหลักฐานในสำนวนเป็นฎีกาในข้อกฎหมายให้รับฎีกาของโจทก์ร่วม
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า’ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์มิได้นำหลักฐานทั้งหมดของโจทก์มาวินิจฉัยชั่งน้ำหนักโดยมิได้นำคำเบิกความของนายกุ่ยสนเสริมพยานโจทก์อีกคนหนึ่งมาร่วมวินิจฉัยกับพยานอื่นด้วยเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานใดควรจะนำมาวินิจฉัยรับฟังได้หรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลซึ่งต้องไม่ขัดต่อกฎหมายในกรณีที่มีแต่พยานเหตุผลหรือพยานแวดล้อมกรณีก็ต้องพิจารณาถึงว่าพยานนั้นเป็นพยานที่รู้เห็นใกล้ชิดเหตุการณ์สถานที่อันเป็นการบ่งชี้โดยแน่นอนโดยไม่มีทางจะคิดได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นคดีนี้โจทก์มีแต่พยานแวดล้อมกรณีไม่มีประจักษ์พยานและศาลเห็นว่าพยานที่ใกล้ชิดเหตุการณ์มีแต่นายวินัยสุขสว่างนางมาลัยนิลพานิชและนายจรูญนิลพานิชส่วนนายกุ่ยพยานโจทก์อีกคนหนึ่งเป็นพยานที่ไกลต่อเหตุการณ์เนื่องจากเหตุเกิดเวลาประมาณ5นาฬิกาแต่นายกุ่ยเห็นเหตุการณ์เมื่อเวลาประมาณ10นาฬิการะยะเวลาห่างจากเวลาเกิดเหตุถึง5ชั่วโมงจึงไม่ใช่พยานแวดล้อมที่จะบ่งชี้ได้โดยแน่นอนจะรับฟังได้ก็แต่เพียงเป็นพยานประกอบพยานอื่นเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมจะไม่หยิบยกคำเบิกความของนายกุ่ยมาพิจารณาเนื่องจากไม่เป็นผลแก่คดีอย่างใดการที่ศาลอุทธรณ์ไม่หยิบยกคำเบิกความของนายกุ่ยมาพิจารณาด้วยจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายและที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยนอกสำนวนแต่ประการใดข้อคัดค้านที่อ้างว่านอกสำนวนนั้นก็มีใจความสรุปได้ว่าคำพยานที่เบิกความมานั้นมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าเป็นความจริงซึ่งเป็นการคัดค้านดุลพินิจการรับฟังพยานนั่นเองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน