คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3154/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คณะกรรมการของสหภาพแรงงานเป็นผู้แทนที่มีอำนาจดำเนินกิจการของสหภาพแรงงาน หากคณะกรรมการของสหภาพแรงงานไม่ประสงค์จะดำเนินกิจการในฐานะเป็นผู้แทนทั้งหมด ก็มีสิทธิที่จะตกลงมอบหมายให้กรรมการของสหภาพแรงงานคนหนึ่งคนใดหรือหลายคนรวมกันทำกิจการแทนคณะกรรมการของสหภาพแรงงานได้
การดำเนินคดีของสหภาพแรงงานจำเลยที่ ๑ ต้องกระทำร่วมกันโดยจำเลยที่ ๒-๑๔ ซึ่งเป็นคณะกรรมการ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ผู้เดียวลงชื่อแต่งตั้ง ส. เป็นทนายความให้มีสิทธิอุทธรณ์ในนามจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒-๑๔ ซึ่งเป็นคณะกรรมการของจำเลยที่ ๑มิได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๓ ดำเนินคดีแทนคณะกรรมการแต่อย่างใดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ เป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ส. ทนายความลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ยื่นโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจโดยชอบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทสหภาพแรงงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นประธาและจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๔ เป็นกรรมการ จำเลยที่ ๑ ยื่นข้อเรียกร้องต่อโจทก์แล้วขอถอนไป พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานพยายามขจัดข้อโต้แย้งโดยขอให้เจรจาหาข้อยุติ จำเลยปฏิเสธการปรึกษาหารือเพื่อหาข้อยุติ วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๑ โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการนัดหยุดงานจากจำเลยที่ ๑ อ้างว่าการเจรจาและการไกล่เกลี่ยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่อาจตกลงกันได้ จึงเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ที่ประชุมของจำเลยที่ ๑ จึงมีมติให้นัดหยุดงานในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๑ เวลา ๘ นาฬิกา เป็นต้นไป โจทก์มีหนังสือคัดค้านว่าจำเลยที่ ๑ กับพวกไม่มีสิทธิแจ้งการนัดหยุดงาน และมีคำสั่งให้ลูกจ้างของโจทก์ทุกคนทำงานต่อไป จำเลยที่ ๑ ถึงที่๑๔ และลูกจ้างส่วนหนึ่งไม่ยอมเข้าทำงาน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบสี่และสมาชิกของจำเลยที่ ๑ยกเลิกการนัดหยุดงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้กลับเข้าทำงานตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ต่อไป
จำเลยทั้งสิบสี่ให้การว่า จำเลยกระทำการตามขั้นตอนกฎหมายไม่ได้ละเมิดโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยมีสิทธินัดหยุดงาน จำเลยรวมทั้งลูกจ้างของโจทก์ยังปฏิบัติงานตามปกติโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๔ และลูกจ้างของโจทก์ที่นัดหยุดงานยกเลิกการหยุดงาน และเข้าทำงานตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์
จำเลยทั้งสิบสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๓๑ มีใจความว่จำเลยที่ ๓ ซึ่งลาออกจากงานตั้งแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๓๑ ได้หมดอำนาจการเป็นกรรมการของจำเลยที่ ๑ ไปแล้ว ใบแต่งทนายทนายของจำเลยที่ ๑ ที่จำเลยที่ ๓ ลงนามจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่๖ พฤษภาคม ๒๕๓๑ โดยนายสุรเดช จิตรจงรักษ์ทนายความเป็นผู้ลงชื่อใช้สิทธิอุทธรณ์โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ได้แต่งตั้งนายสุรเดช จิตรจงรักษ์ เป็นทนายความ ศาลฎีกาจึงได้มีคำสั่งลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ ให้จำเลยที่ ๑ ทำใบแต่งทนายความแต่งตั้งนายสุรเดช จิตรจงรักษ์ ให้ถูกต้องจำเลยที่ ๑โดยจำเลยที่ ๓ ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ ๑ ได้ลงชื่อแต่งตั้งนายสุรเดช จิตรจงรักษ์ เป็นทนายความตามใบแต่งทนายความลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ ปัญหามีว่าจำเลยที่ ๓ มีอำนาจแต่งตั้งทนายความในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทสหภาพแรงงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๘๗ และการดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานนั้นจะต้องเป็นไปตามมาตรา ๑๐๐ซึ่งบัญญัติว่า “ให้สหภาพแรงงานมีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินกิจการเป็นผู้แทนของสหภาพแรงงานในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก เพื่อการนี้คณะกรรมการจะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งหรือหลายคนทำแทนก็ได้”ซึ่งหมายความว่า ผู้มีอำนาจเป็นผู้แทนของสหภาพแรงงานที่มีอำนาจดำเนินกิจการของสหภาพแรงงานได้แก่คณะกรรมการของสหภาพแรงงานนั้น ๆ โดยเฉพาะ หากคณะกรรมการของสหภาพแรงงานไม่ประสงค์จะดำเนินกิจการในฐานะเป็นผู้แทนทั้งหมด คณะกรรมการของสหภาพแรงงานก็มีสิทธิที่จะตกลงมอบหมายให้กรรมการของสหภาพแรงงานคนหนึ่งคนใดหรือหลายคนร่วมกันทำกิจการแทนคณะกรรมการของสหภาพแรงงานก็ได้กรณีของจำเลยที่ ๑ นี้ ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องโจทก์ โดยจำเลยทั้งสิบสี่ได้ให้การโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นประธานและจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๔ เป็นกรรมการของจำเลยที่ ๑ ดังนั้นในการดำเนินคดีของจำเลยที่ ๑ พึงต้องกระทำร่วมกัน โดยจำเลยที่ ๒ถึงที่ ๑๔ ซึ่งเป็นคณะกรรมการ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๑๔ได้ตกลงมอบหมายให้จำเลยที่ ๓ แต่ผู้เดียวเป็นผู้ดำเนินคดีแทนคณะกรรมการด้วย ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๓ แต่เพียงผู้เดียวได้ลงลายมือชื่อแต่งตั้งนายสุรเดช จิตรจงรักษ์ เป็นทนายความตามใบแต่งทนายความลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๑ (สารบาญอันดับ ๘๐) ให้มีสิทธิอุทธรณ์ในนามของจำเลยที่ ๑ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๓ มีอำนาจเป็นผู้แทนของจำเลยที่ ๑ ที่จะปฏิบัติเช่นนั้นได้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่นายสุรเดช จิตรจงรักษ์ ทนายความลงลายมือชื่อเป็นผู้อุทธรณ์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ยื่นโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจโดยชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑.

Share