แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2)(3) ประกอบด้วยมาตรา 362 เช่นนี้ ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 โดยมิได้ปรับบทมาตรา 362 มาด้วยย่อมไม่ถูกต้องเพราะมาตรา 365 มิได้บัญญัติความผิดไว้ชัดแจ้งในตัว.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362,365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 365, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 1 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาพิจารณาตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องของโจทก์หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายบุญโชคผู้เสียหายว่า ในวันเกิดเหตุนายมี เหมือนงิ้ว ไปแจ้งว่ามีคนใช้รถแทรกเตอร์เข้าไปไถที่ดินของผู้เสียหาย จึงไปดูเห็นรถแทรกเตอร์กำลังไถดินทำถนนอยู่ 2 คัน ได้ไปร้องต่อพนักงานสอบสวนแล้วพาพนักงานสอบสวนไปยังที่เกิดเหตุ คนขับรถแทรกเตอร์ทั้งสองคนบอกว่าจำเลยใช้ให้ไถดิน จึงควบคุมจำเลยไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอคลองหลวง จำเลยรับว่าได้ว่าจ้างให้ผู้อื่นนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถที่ดินของผู้เสียหาย ปรากฏตามบัญชีทรัพย์สินเสียหายที่พนักงานสอบสวนทำขึ้นเอกสารหมาย จ.7 ว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1710อยู่ที่ตำบลบางหวายใต้ (คลอง 1 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ทำเป็นถนนยาวประมาณครึ่งกิโลเมตร กว้าง 6 เมตร และสูงประมาณ 1 เมตร โดยจำเลยอ้างว่านายชลิตผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินรายนี้จากผู้เสียหาย ได้มอบให้จำเลยทำการจัดสรรที่ดินตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ป.ล. 1 และ ป.ล. 2 แต่จำเลยมิได้นำนายชลิตเข้าสืบเป็นพยานจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การต่อร้อยตำรวจตรีปราโมทย์พนักงานสอบสวนว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2528 นายชลิตมีจดหมายมาบอกว่าได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับผู้เสียหายเมื่อวันที่ 31 มกราคม2528 แต่ยังผ่อนชำระเงินไม่หมด ให้จำเลยช่วยจัดสรรที่ดินดังกล่าวนายชลิตได้มอบสำเนาหนังสือมอบอำนาจให้จัดสรรที่ดิน สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินกับแบบแปลนการจัดสรรที่ดินให้ และจำเลยได้ตอบจดหมายนายชลิตไป ทั้งนี้โดยจำเลยไม่ได้พบตัวนายชลิต แต่ชั้นพิจารณาจำเลยกลับนำสืบว่า นายสุรินทร์พานายชลิตมาแนะนำให้รู้จักเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2528 นายชลิตให้จำเลยเป็นผู้จัดการจัดสรรที่ดินโดยจะให้เงินเดือนเดือนละ 4,300 บาท ตามสัญญาซื้อขายที่ดินก็ระบุว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาถึง 10,200,000 บาท การจัดสรรที่ดินเป็นการดำเนินธุรกิจ แต่ไม่ปรากฏว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับการรับจ่ายเงินหรือจำเลยมอบให้ผู้อื่นรับเงินจากผู้ซื้อที่ดินแล้วส่งไปให้นายชลิตที่ไหนอย่างไร ที่จำเลยอ้างเอกสารหมาย จ. 9 ว่าเป็นจดหมายที่นายชลิตติดต่อให้เป็นผู้จัดสรรที่ดินให้ แต่จดหมายดังกล่าวมิได้ลงที่อยู่ของนายชลิตผู้เขียนไว้ และจดหมายติดต่อฉบับลงวันที่11 มีนาคม 2528 เอกสารหมาย ล. 4 ลงที่อยู่ไว้ว่า สำนักงานศรีสวัสดิ์ 2 เพลินจิต ในสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินและสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ป.ล. 1 และ ป.ล. 2 ลงที่อยู่ของนายชลิตว่า อยู่บ้านเลขที่ 689/113 ถนนเพลินจิต ตำบลหลังสวนอำเภอปทุมวัน กรุงเทพมหานคร แต่เมื่อพนักงานสอบสวนได้ติดต่อขอคัดทะเบียนบ้านดังกล่าวจากนายทะเบียนท้องถิ่นปทุมวัน หัวหน้างานทะเบียนเขตปทุมวันได้ตอนยืนยันว่า ไม่ปรากฏบ้านเลขที่ดังกล่าวแต่อย่างใดตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ส่อแสดงว่านายชลิตที่จำเลยอ้างไม่มีตัวตนอยู่จริง การมอบอำนาจให้จำเลยจัดสรรที่ดินไม่เป็นกิจจะลักษณะ พยานจำเลยไม่มีเหตุผลไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงไม่น่าเชื่อว่า จำเลยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำการจัดสรรที่ดินรายนี้ การที่จำเลยกับพวกเข้าไปทำการไถที่ดินของผู้เสียหายทำเป็นถนนเพื่อจัดสรรขายให้แก่ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย จึงเป็นการบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้น และทำให้เสียหายซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 โดยมิได้ปรับบทมาตรา 362 มาด้วยนั้นยังไม่ถูกต้องเพราะมาตรา 365 มิได้บัญญัติความผิดไว้ชัดแจ้งในตัว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา358, 365 (2) (3) ประกอบด้วยมาตรา 362, 83 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”