แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกไม่เกินห้าปี ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสามเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟังสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งเป็นเอกสารมหาชนแต่กลับรับฟังพยานบุคคลแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น น่าจะเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และน่าจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยสั่งไว้ในคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสามแต่ประการใดไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่คดีทั้งสองสำนวนนี้ โจทก์และจำเลยทั้งสามเป็นคู่ความเดียวกันโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นทำนองเดียวกันขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องคดีทั้งสองสำนวนแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณาระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นรวมพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ความผิดตามเช็คหมาย จ.2 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 40,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปีความผิดตามเช็คหมาย จ.6 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 20,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปี รวมปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 60,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 6 ที่ 3 คนละ 2 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 115 แผ่นที่ 3)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 117)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสามฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อน ไม่รับฟังพยานเอกสารแต่รับฟังพยานบุคคลแต่ฝ่ายเดียวและไม่มีมูลหนี้ต่อกันตามเช็ค ดังนี้ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง