คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3153/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด ได้ความจากมารดาพี่น้องและเพื่อนผู้ตายว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเคยปรับทุกข์ว่ามีเหตุทะเลาะกับจำเลย เพราะจำเลยติดพันฐานชู้สาวกับผู้หญิงอื่นขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมากับผู้ตายเพียงสองต่อสอง ผู้ตายถูกยิงภายนอกรถใกล้รถยนต์ที่จอดอยู่ถูกอวัยวะสำคัญในลักษณะจ่อยิง ทันใดจำเลยวิ่งออกมาจากจุดเกิดเหตุขอความช่วยเหลือจาก ล. และ ค.ที่วัดบอกว่าขณะจอดรถปัสสาวะผู้ตายนั่งคอยอยู่ในรถ มีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์เข้ามายิง แต่เมื่อ ล. กับ ค. ไปถึงกลับพบว่าผู้ตายนอนตายอยู่ที่ไหล่ถนนติดประตูหน้ารถข้างซ้าย รถอยู่ในลักษณะที่ปิดประตูไว้ทั้งสองข้างเปิดไฟฟ้าภายในรถกับไฟหรี่หน้ารถไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจที่เกิดเหตุหลังรับแจ้งไม่พบร่องรอยที่จำเลยอ้างว่ายืนถ่ายปัสสาวะทางด้านท้ายรถประมาณ 3 เมตรไม่พบร่องรอยจุดซึ่งจำเลยอ้างว่าวิ่งไปหลบซ่อนคนร้าย ทั้ง ๆที่ดินบริเวณนั้นมีความอ่อนนุ่มถ้าเหยียบจะเป็นรอยเท้า และไม่พบร่องรอยกระสุนปืนภายในรถคันเกิดเหตุ ทั้ง ๆ ที่จำเลยอ้างในที่เกิดเหตุว่าคนร้ายขับรถจักรยานยนต์มาจอดด้านคนขับแล้วใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้ตายซึ่งนั่งอยู่ภายในรถข้างที่นั่งคนขับจำเลยยืนถ่ายปัสสาวะอยู่ห่างจากรถซึ่งเปิดไฟฟ้าภายในรถประมาณ 3 เมตรจำเลยน่าจะเห็นและจดจำลักษณะรูปพรรณสัณฐานคนร้ายได้และรีบแจ้งให้ตำรวจสกัดจับหรือสืบจับคนร้ายทันที แต่จำเลยไม่ได้กระทำเช่นนั้นถ้าจำเลยและผู้ตายมีศัตรูที่จะทำอันตรายถึงชีวิต คนร้ายก็น่าจะเป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์ติดตามหรือดักทำร้าย ไม่ใช่ขับรถสวนทางมา ทั้งจำเลยก็อ้างว่าคนร้ายเรียกชื่อจำเลยก่อนแสดงว่าคนร้ายมุ่งฆ่าจำเลย เหตุใดคนร้ายกลับใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งคนร้ายสามารถมองเห็นจากไฟฟ้าภายในรถ โดยไม่ติดตามยิงจำเลยซึ่งยืนอยู่ห่างเพียง 3 เมตร และเมื่อมีการตรวจพิสูจน์เขม่าดินปืนที่มือของจำเลยก็พบธาตุแอนติโมนีและธาตุแบเรียม ซึ่งปกติพบในเขม่าดินปืน ดังนั้น พยานแวดล้อมกรณีดังกล่าวมั่นคงเพียงพอฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ข้ออ้างการนำสืบของจำเลยที่ว่าคนร้ายขับรถจักรยานยนต์เข้ามายิงผู้ตายขณะจำเลยยืนถ่ายปัสสาวะอยู่นั้นมีพิรุธไม่น่าเชื่อ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต คำให้การชั้นจับกุมและข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วย มาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี4 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2530 เวลา 17 นาฬิกาเศษ จำเลยกับนางจงจิต ตายูเคน ผู้ตายซึ่งเป็นภริยาได้ไปกินสุราอาหารที่บ้านนายเพิ่มศักดิ์ นีลวัฒนานนท์ ตำบลเมืองเหนือ อำเภอเมืองศรีสะเกษจังหวัดศรีสะเกษ จนเวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยกับผู้ตายจึงได้กลับไปด้วยกันโดยจำเลยขับรถยนต์กระบะโตโยต้าสีขาวไปตามถนนสายศรีสะเกษ – อุทุมพรพิสัย มุ่งหน้าไปทางอำเภออุทุมพรพิสัย เมื่อใกล้ถึงวัดสระกำแพงน้อยจำเลยได้หยุดรถริมถนนห่างจากประตูวัดประมาณ 200 เมตร สักครู่มีคนร้ายยิงผู้ตาย 2 นัด กระสุนปืนถูกที่กลางศีรษะและกลางหน้าอก ปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยได้ไปขอให้นายเล็กบุหลันเลี่ยมวงศ์ และนายคูณ วงศ์แก้ว ซึ่งพักอยู่ในวัดให้มาช่วยแบกศพผู้ตายขึ้นบนรถซึ่งยังเปิดไฟฟ้าอยู่ในขณะนั้น แล้วพากันไปแจ้งเหตุต่อสิบตำรวจตรีมานิตย์ สินสารธรรม ที่สี่แยกส้มป่อยว่าผู้ตายถูกยิงเวลาประมาณ 22 นาฬิกา พันตำรวจโทสมพงษ์ ชมภูพงษ์ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภออุทุมพรพิสัย พันตำรวจโทครองศักดิ์ สิงห์น้อยสารวัตรปกครองป้องกัน ร้อยตำรวจตรีลิขิต พรมแดง พนักงานสอบสวนได้ไปตรวจที่เกิดเหตุและสอบถามจำเลย จำเลยให้การว่า ขณะจำเลยจอดรถถ่ายปัสสาวะมีคนร้าย 2 คน นั่งรถจักรยานยนต์มาจากทางอำเภออุทุมพรพิสัย จอดรถเรียกชื่อจำเลย แล้วยิงผู้ตาย 2 นัด ผู้ตายร้องบอกให้จำเลยหลบหนี จำเลยจึงวิ่งหลบไปซ่อนตัวที่ขอบสระน้ำห่างประมาณ 120 เมตร คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงอีก 1 นัด แล้วขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป คดีมีปัญหาว่า จำเลยเป็นคนร้ายยิงผู้ตายจริงหรือไม่ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยกระทำผิด แต่ได้ความจากโจทก์ร่วม นางถนอมพันธ์ ทองยา นางอัจฉรา สุริย์ฉาย นางสุมาลัยกองแก้ว ซึ่งเป็นมารดา พี่ น้องและเพื่อนผู้ตายตามลำดับว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายเคยปรับทุกข์ว่ามีเหตุทะเลาะกับจำเลย เพราะจำเลยติดพันฐานชู้สาวกับผู้หญิงอื่น เมื่อเดือนมกราคม 2530ผู้ตายขอให้นางสุมาลัยลงลายมือชื่อเป็นพยานในบันทึกทัณฑ์บนเอกสารหมาย จ.4 ว่าจำเลยจะไม่ติดต่อนางสาวประไพ ไชยนิตย์ ฐานชู้สาวอีกผู้ตายมีอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดเบอร์ 20 ไว้ประจำตัวอ้างว่ามีไว้ป้องกันตัว และทำสัญญาประกันชีวิตไว้ได้ความจากนายเล็กและนายคูณพยานโจทก์ว่า หลังจากได้ยินเสียงปืน 2 นัด บริเวณหน้าวัดสระกำแพงน้อยแล้ว จำเลยได้ไปร้องเรียกขอความช่วยเหลือที่วัดและบอกพยานทั้งสองว่าขณะจำเลยจอดรถถ่ายปัสสาวะผู้ตายนั่งคอยอยู่ในรถมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์เข้ามายิง แต่เมื่อพยานทั้งสองไปดูกลับพบว่าผู้ตายนอนตายอยู่ที่ไหล่ถนนติดประตูหน้ารถข้างซ้ายรถอยู่ในลักษณะที่ปิดประตูไว้ทั้งสองข้าง เปิดไฟฟ้าภายในรถกับไฟหรี่หน้ารถไว้ นอกจากนี้ได้ความจากพันตำรวจโทสมพงษ์ พันตำรวจโทครองศักดิ์ ร้อยตำรวจโทวิรัตน์ เจริญกลิ่น และร้อยตำรวจตรีลิขิตตำรวจผู้ออกตรวจสถานที่เกิดเหตุในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกาว่า เมื่อได้รับแจ้งทางวิทยุและจากตำรวจประจำป้อมยามสี่แยกส้มป่อยตามลำดับ ต่างไปตรวจที่เกิดเหตุโดยให้ตำรวจใช้ไฟฉายประมาณ 3กระบอกฉายตรวจสอบบริเวณ ไม่พบร่องรอยที่จำเลยอ้างว่ายืนถ่ายปัสสาวะห่างด้านท้ายรถประมาณ 3 เมตร ไม่พบร่องรอยจุดซึ่งจำเลยอ้างว่าวิ่งไปหลบซ่อนคนร้ายทั้ง ๆ ที่ดินบริเวณนั้นมีความอ่อนนุ่มถ้าเหยียบจะเป็นรอยเท้า และไม่พบร่องรอยกระสุนปืนภายในรถคันเกิดเหตุทั้ง ๆ ที่จำเลยอ้างในที่เกิดเหตุว่าคนร้ายขับรถจักรยานยนต์มาจอดด้านคนขับ แล้วใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้ตายซึ่งนั่งอยู่ภายในรถข้างที่นั่งคนขับ นอกจากหลักฐานที่พยานโจทก์ดังกล่าวตรวจพบในที่เกิดเหตุขัดกับคำอ้างของจำเลยแล้ว ยังได้ความจากสิบตำรวจตรีมานิตย์ตำรวจประจำป้อมยามสี่แยกส้มป่อยและพยานโจทก์ปากอื่น ๆว่าจำเลยอ้างว่าจดจำคนร้ายไม่ได้และไม่ได้แจ้งขอให้ตำรวจสกัดจับหรือสืบจับคนร้ายที่ยิงผู้ตายแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการผิดวิสัยสามีของผู้ตาย เพราะจุดที่จำเลยอ้างว่ายืนถ่ายปัสสาวะอยู่ห่างจากรถซึ่งปรากฏหลังเกิดเหตุว่าเปิดไฟฟ้าภายในรถและหน้ารถอยู่เพียงประมาณ 3 เมตร จำเลยน่าจะเห็นและจดจำลักษณะรูปพรรณสัณฐานคนร้ายได้และรีบแจ้งให้ตำรวจสกัดจับหรือสืบจับคนร้ายทันที แต่จำเลยก็ไม่ได้กระทำเช่นนั้น นอกจากนั้นข้ออ้างของจำเลยที่ว่ามีคนร้าย 2 คนขับรถจักรยานยนต์มาใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้นยังขัดเหตุผลอีกหลายประการ กล่าวคือ ตามทางพิจารณาไม่ปรากฏแน่ชัดแต่อย่างใดว่าจำเลยและผู้ตายมีศัตรูที่จะทำอันตรายถึงชีวิต ซึ่งถ้าหากมีศัตรูดั่งจำเลยอ้าง คนร้ายก็น่าจะเป็นฝ่ายขับรถจักรยานยนต์ติดตามหรือดักทำร้ายไม่ใช่ขับรถสวนทางมา ทั้งจำเลยก็อ้างว่าคนร้ายเรียกชื่อจำเลยก่อน แสดงว่าคนร้ายมุ่งฆ่าจำเลย เหตุใดคนร้ายกลับใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งคนร้ายสามารถมองเห็นจากไฟฟ้าภายในรถ โดยไม่ติดตามยิงจำเลยซึ่งยืนอยู่ห่างจากรถเพียง 3 เมตร แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยจึงขาดน้ำหนัก ได้ความจากพยานโจทก์ซึ่งไปตรวจสถานที่เกิดเหตุว่า ได้ตรวจพบกองโลหิตผู้ตายที่ริมถนนใกล้ประตูรถข้างซ้าย พบรองเท้าแตะส้นสูงของผู้ตายห่างกองโลหิตประมาณ 3 เมตรเศษ พบปลอกกระสุนปืนใกล้เคียงกัน และร้อยตำรวจโทวิรัตน์ยังตรวจพบร่องรอยหินกระจัดกระจาย มีรอยเท้าคนคล้ายร่องรอยของการต่อสู้กันน่าเชื่อว่าผู้ตายถูกคนร้ายยิงนอกตัวรถด้านซ้ายมือหลังจากมีการต่อสู้กัน และเมื่อตรวจรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้องประกอบภาพถ่ายศพผู้ตายตามภาพถ่ายหมาย จ.1 ถึง จ.3 และคำเบิกความของนายแพทย์บัณฑิต จึงสมาน แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายเห็นได้ว่าผู้ตายถูกยิงที่บริเวณกลางหน้าอก กระสุนตัดขั้วหัวใจหลอดลมและที่บริเวณกลางศรีษะ ลูกกระสุนอยู่ที่บริเวณฐานกะโหลกศีรษะบาดแผลทางเข้าของกระสุนปืนใหญ่ฉกรรจ์ มีร่องรอยเขม่าดินปืนที่บาดแผลทั้งสองแห่งและเสื้อผ้าบริเวณบาดแผลที่หน้าอก เชื่อได้ว่าคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองจ่อยิงผู้ตายในระยะกระชั้นชิด แต่ละแผลที่ผู้ตายถูกยิงมีผลให้ผู้ตายตายทันที ไม่ทันที่จะร้องบอกจำเลยให้หลบหนีดั่งที่จำเลยอ้าง ได้ความจากร้อยตำรวจตรีลิขิตพนักงานสอบสวน จ่าสิบตำรวจเสรี คันศร ตำรวจผู้ตรวจเก็บเขม่าดินปืนจากมือจำเลย และร้อยตำรวจเอกอรรณพ ทรงบัณฑิตย์ ตำรวจผู้ตรวจพิสูจน์เขม่าดินปืนโดยเครื่องมืออะตอมมิคแอสซอฟชั่นว่า หลังเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมงเศษ จ่าสิบตำรวจเสรีได้ใช้สำลีชุบน้ำยาเช็ดฝ่ามือและหลังมือทั้งสองข้างของจำเลยแล้วนำส่งกองพิสูจน์หลักฐาน ปรากฏตามบันทึกการตรวจเก็บเขม่าดินปืน เอกสารหมาย ป.จ.2 ร้อยตำรวจเอกอรรณพตรวจพิสูจน์แล้วทำรายงานการตรวจพิสูจน์ไว้ตามเอกสารหมายป.จ.3 ว่าตรวจพบธาตุแอนติโมนีและธาตุแบเรียมที่มือของจำเลยในปริมาณที่เชื่อได้ว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงมาแล้วใหม่ ๆ เป็นการขัดกับที่จำเลยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.7 ว่าไม่ได้ยิงปืนมาก่อนเกิดเหตุ 2 ปีเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถมากับผู้ตายเพียงสองต่อสอง ผู้ตายถูกยิงภายนอกรถใกล้รถยนต์ที่จอดอยู่ถูกอวัยวะสำคัญในลักษณะจ่อยิงทันใดจำเลยวิ่งออกมาจากจุดเกิดเหตุขอความช่วยเหลือจากนายเล็กและนายคูณที่วัด โดยไม่เร่งรีบพาผู้ตายไปรักษาบาดแผลและไม่เร่งรัดให้พยานทั้งสองกับตำรวจผู้รับแจ้งเหตุไปดักจับกุมหรือสืบจับกุมคนร้ายแต่อย่างใด และเมื่อมีการตรวจพิสูจน์เขม่าดินปืนที่มือของจำเลยก็พบธาตุแอนติโมนีและธาตุแบเรียมซึ่งปกติพบในเขม่าดินปืนดังนี้ พยานแวดล้อมกรณีดังกล่าวมั่นคงเพียงพอฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริง ข้ออ้างทางนำสืบของจำเลยที่ว่าคนร้ายขับรถจักรยานยนต์เข้ามายิงผู้ตายขณะจำเลยยืนถ่ายปัสสาวะอยู่นั้นมีพิรุธไม่น่าเชื่อ”
พิพากษายืน.

Share