คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3149/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินค่าก่อสร้างที่ผู้ร้องจะจ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 ไว้ก่อนพิพากษาแต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาผู้ร้องใช้สิทธิปรับตามสัญญาจ้างก่อสร้างซึ่งผู้ร้องมีสิทธิที่จะปรับได้ตั้งแต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดและยินยอมให้ผู้ร้องปรับโดยหักกลบลบหนี้กับค่าก่อสร้างตั้งแต่ก่อนที่จะมีหมายอายัดดังนั้น ในขณะที่มีการออกหมายอายัดและนับแต่นั้นต่อมาจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องใดต่อผู้ร้องอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ขออายัดและจัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 310,311 แม้ต่อมาผู้ร้องจะมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีว่ามีเงินจำนวนนั้นและจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องใดต่อผู้ร้องอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ขออายัดและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 310(3),311 จะจัดส่งมาให้เมื่อได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังและได้รับเงินจากกรมบัญชีกลางแล้ว ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเดิมไม่มีสิทธิเรียกร้องใดต่อผู้ร้องกลับกลายมาเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้อง หมายอายัดจึงไม่มีผลบังคับผู้ร้องศาลเพิกถอนหมายอายัดนั้นได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 152,516.35 บาท แก่โจทก์และยื่นคำร้องในกรณีฉุกเฉินขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินค่าก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลบำราศนราดูรที่ผู้ร้องจะจ่ายให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 170,000 บาท ไว้ก่อนพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดเงินจำนวนดังกล่าวตามคำขอของโจทก์และออกหมายอายัดชั่วคราวถึงผู้ร้องลงวันที่ 28 มิถุนายน 2525ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตกลงกันให้คำสั่งอายัดชั่วคราวมีผลเป็นคำสั่งอายัดตลอดไปด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอออกหมายบังคับคดี ครั้นวันที่ 31 สิงหาคม 2527 ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่โจทก์อายัดไว้ศาลชั้นต้นอนุญาต วันที่ 30ตุลาคม 2528 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนหมายอายัดชั่วคราวที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องส่งเงินตามหมายอายัดไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี อ้างว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาลบำราศนราดูร ในการส่งมอบงานงวดที่ 15และงวดที่ 16 ล่าช้ากว่ากำหนดตามสัญญาจ้างฉบับลงวันที่ 31มกราคม 2523 ผู้ร้องจึงหักเงินค่าจ้างเป็นค่าปรับ คิดรายวันรวมเป็นเงิน 164,000 บาท และระหว่างก่อสร้างงานงวดที่ 17 จำเลยที่ 1ก็ละทิ้งงาน ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2525และจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อจนเสร็จทำให้ผู้ร้องเสียค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 4,358,644 บาท กับจำเลยที่ 1 จะต้องถูกปรับตามสัญญาวันละ 4,000 บาท นับจากวันครบสัญญาจนถึงวันที่ผู้รับจ้างรายใหม่ก่อสร้างเสร็จรวม 677 วัน คิดเป็นค่าปรับ 2,708,000 บาทรวมค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ให้ผู้ร้องทั้งสิ้น7,066,644 บาท ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เรียกค่าเสียหายจำนวนดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องผู้ร้องเรียกค่าเสียหายเช่นกันแต่ศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องผู้ร้องและให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายแก่ผู้ร้องเป็นเงิน 3,683,346 บาทพร้อมดอกเบี้ยปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 7011-7012/2527 ของศาลแพ่งผู้ร้องมีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาตั้งแต่ก่อนที่จะได้รับหมายอายัดของศาล และมีสิทธินำเงิน 164,000 บาท ที่หักไว้เป็นค่าปรับมาหักกลบลบหนี้ค่าจ้างโดยไม่ต้องคืนจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้อายัดเงินจำนวนดังกล่าวได้ ขอให้เพิกถอนหมายอายัดชั่วคราวลงวันที่ 28 มิถุนายน 2525 โจทก์คัดค้านว่าคดีระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ที่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้นศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ผู้ร้องยังไม่มีสิทธิหักเงินค่าปรับและจำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างงานงวดที่ 17 และงวดที่ 18 ให้ผู้ร้องบางส่วนแล้ว ผู้ร้องจะต้องชำระค่าจ้างสำหรับงานงวดที่ 17และงวดที่ 18 บางส่วนให้จำเลยที่ 1 ด้วย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงค่าจ้างของจำเลยที่ 1 ไว้เพื่อหักเป็นค่าปรับของผู้ร้องขอให้ยกคำร้อง ผู้คัดค้านคัดค้านว่า สิทธิเรียกร้องเอาค่าปรับของผู้ร้องต่อจำเลยที่ 1 ยังมีข้อต่อสู้อยู่ จึงเป็นหนี้ที่มีจำนวนไม่แน่นอนผู้ร้องจะนำสิทธิเรียกร้องเอาค่าปรับมาหักกลบลบหนี้กับเงินค่าจ้างงวดที่ 15 และงวดที่ 16 หาได้ไม่ ขอให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนหมายอายัดชั่วคราวฉบับลงวันที่ 28 มิถุนายน2525 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ศาลให้เป็นพับ โจทก์และผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาลบำราศนราดูระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1ฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2523 มีข้อตกลงว่า จำเลยที่ 1 จะต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2524(และต่ออายุสัญญาให้ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2525) โดยแบ่งงานออกเป็น 22 งวด งานงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 14 จำเลยที่ 1 ส่งมอบให้ผู้ร้องตามกำหนดในสัญญาและรับเงินค่าจ้างไปครบถ้วนแล้ว ส่วนงานงวดที่ 15 และงวดที่ 16 ผู้ร้องอ้างว่า จำเลยที่ 1 ส่งมอบงานล่าช้ากว่ากำหนดตามสัญญา 41 วัน ต้องถูกปรับวันละ 4,000 บาทเป็นเงิน 164,000 บาท ส่วนงานงวดที่ 17 จำเลยที่ 1 ก็ละทิ้งงานผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2525 และจ้างบุคคลอื่น ทำการก่อสร้างต่อจนเสร็จ ทำให้ผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 4,358.644 บาท กับจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาต้องถูกปรับวันละ4,000 บาท นับแต่วันครบสัญญาถึงวันทำงานก่อสร้างแล้วเสร็จ รวม677 วัน คิดเป็นเงินค่าปรับ 2,708,000 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 จะต้องใช้ให้ผู้ร้องทั้งสิ้น 7,066,644 บาท ผู้ร้องฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ชดใช้เงินแก่ผู้ร้องตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 5059/2526 หมายเลขแดงที่ 7012/2527 ของศาลชั้นต้น และจำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 13792/2525 หมายเลขแดงที่ 7011/2527ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาคดี 2 สำนวนดังกล่าวเข้าด้วยกันแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา ให้จำเลยที่ 1กับพวกร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้อง โดยให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 3,683,346 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้อง ส่วนคดีสำนวนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องผู้ร้องนั้นศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1ไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุดไปแล้ว ส่วนผู้ร้องอุทธรณ์ของให้จำเลยที่ 1กับพวกชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ร้องเต็มตามฟ้อง
มีปัญหาในชั้นฎีกาว่า ผู้ร้องมีเหตุจะให้เพิกถอนการอายัดสิทธิเรียกร้องตามหมายอายัดลงวันที่ 28 มิถุนายน 2525 หรือไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ส่งมอบงานงวดที่ 15 และงวดที่ 16เมื่อวันที่ 1 และ 21 ธันวาคม 2524 ตามลำดับ ผู้ร้องได้ตรวจรับและใช้สิทธิปรับจำเลยที่ 1 เพราะส่งมอบงานล่าช้ารวม 2 งวดงานเป็นเงิน 164,000 บาท โดยหักกลบลบหนี้เงินค่าก่อสร้างที่ผู้ร้องชำระให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเงินค่าจ้างที่หักกลบลบหนี้แล้วนั้นตั้งแต่วันที่ 4 และ 20 มกราคม 2525 ตามลำดับ ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนที่จะมีหมายอายัดชั่วคราวดังกล่าว หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ละทิ้งงาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1เป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างพิพากษาหักกลบลบหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะพึงได้จากผู้ร้องแล้ว ให้จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าเสียหายแก่ผู้ร้องแม้เรื่องค่าเสียหายจะยังไม่ถึงที่สุด แต่สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ที่จะพึงมีต่อผู้ร้องนับแต่วันที่ออกหมายอายัดชั่วคราวเป็นอันหมดสิ้นไปคดีมีปัญหาโต้เถียงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาสำหรับเงินจำนวน164,000 บาท ที่ผู้ร้องใช้สิทธิปรับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินค่าปรับที่ผู้ร้องใช้สิทธิปรับตามสัญญาซึ่งผู้ร้องมีสิทธิที่จะปรับได้ตั้งแต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดและเมื่อจำเลยที่ 1 ยินยอมให้ผู้ร้องปรับโดยหักกลบลบหนี้ค่าก่อสร้างตั้งแต่ก่อนที่จะมีหมายอายัดชั่วคราวดังกล่าวกับทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้พิพากษาให้ผู้ร้องต้องส่งคืน ดังนั้นในขณะที่มีการออกหมายอายัดชั่วคราวดังกล่าวและนับแต่นั้นต่อมา จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องใดต่อผู้ร้องอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ขออายัดและจัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 310(3), 311แม้ต่อมาผู้ร้องจะมีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดีว่ามีเงินจำนวน 164,000 บาท จะจัดส่งมาให้เมื่อได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังและได้รับเงินจากกรมบัญชีกลางแล้ว ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1ซึ่งเดิมไม่มีสิทธิเรียกร้องใดต่อผู้ร้องกลับกลายมาเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องหมายอายัดชั่วคราวลงวันที่ 28 มิถุนายน 2525จึงไม่มีผลบังคับผู้ร้องไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์และผู้คัดค้านต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share