แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาปัญหาว่าฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195วรรคสอง ไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 170 และมาตรา 192
ฟ้องของโจทก์ในข้อหาเบิกความเท็จ ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความนั้นเป็นข้อความอันเป็นเท็จอย่างไร คดีที่เบิกความมีข้อพิพาท ประเด็นและข้อความที่เป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2519 เวลากลางวัน จำเลยยื่นฟ้องนายปักจงและโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลอาญาฐานปลอมเอกสาร ใช้ปลอมเอกสารแสดงพยานหลักฐานเท็จและเบิกความเท็จ ตามคดีหมายเลขดำที่ 12561/2519 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2519 เวลากลางวัน จำเลยยื่นฟ้องนายปักจงและโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลอาญาฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม แจ้งความเท็จและแสดงพยานเอกสารเท็จ ตามคดีหมายเลขดำที่ 13790/2519 และเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2520 กับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2520 จำเลยเบิกความต่อศาลอาญายืนยันว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2515 นายปักจงและโจทก์ร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาจ้างเหมาระหว่างนายปักจงกับพันตรีณรงค์ และนำไปใช้เป็นพยานหลักฐาน อันเป็นสารสำคัญในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7080/2516 การกระทำของจำเลยมีเจตนาให้นายปักจงและโจทก์ได้รับโทษทางอาญาโดยจำเลยรู้อยู่ว่านายปักจงและโจทก์มิได้ร่วมกันกระทำผิด เป็นเหตุให้ศาลอาญาลงโทษนายปักจงและโจทก์ฐานใช้เอกสารปลอมจำคุกคนละ 1 ปี และโจทก์เสื่อมเสียอิสระภาพต้องถูกคุมขังเป็นเวลา 5 วัน ต่อมาศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา พิพากษายกฟ้อง แสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นผู้บริสุทธิ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 90, 175 และ 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่ามีมูลเฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จส่วนฐานฟ้องเท็จเคลือบคลุมและความผิดต่อเสรีภาพ โจทก์มิได้อ้างบทลงโทษมาในท้ายฟ้อง แสดงว่าไม่ประสงค์ให้ลงโทษจึงประทับฟ้องเฉพาะฐานเบิกความเท็จ นอกนั้นให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ฐานฟ้องเท็จและเสรีภาพเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ส่วนฐานเบิกความเท็จ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้และวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จเคลือบคลุมด้วย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานเบิกความเท็จเสียด้วย
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ข้อหาเบิกความเท็จและจำเลยก็ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อหาเบิกความเท็จขึ้นพิจารณาจึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 และ 192 ส่วนข้อหาเบิกความเท็จนั้นโจทก์บรรยายฟ้องถูกต้องแล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีอาญาปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกฟ้องของโจทก์ในข้อหาเบิกความเท็จขึ้นพิจารณาและวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) จึงมีอำนาจที่จะกระทำได้ ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 และ 192
สำหรับฟ้องของโจทก์ฐานเบิกความเท็จนั้น โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2520 และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2520 จำเลยเบิกความต่อศาลอาญายืนยันว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2515 นายปักจงและโจทก์ร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาจ้างเหมาระหว่างนายปักจงกับพันตรีณรงค์และนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานอันเป็นสารสำคัญในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7080/2516 เท่านั้น ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลอาญานั้นเป็นข้อความอันเป็นเท็จอย่างไร และไม่ได้บรรยายว่าคดีที่เบิกความมีข้อพิพาท ประเด็นและข้อความที่เป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไรฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พิพากษายืน