แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์และมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้นแต่ประการใด แม้โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเป็นรายเดือนเข้ามาด้วยเป็นจำนวนเงิน 15,000 บาทก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นการเรียกค่าเช่าที่คำนวณเป็นค่าเสียหายเข้ามาด้วยอันเกี่ยวพันกันกับฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์นั้นเอง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกนั้นไม่เกิน 50,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษาเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยเฉพาะในจำนวนเงินที่เรียกนั้นเท่านั้นจึงเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวจากโจทก์เพื่อประกอบการค้าเป็นเวลา ๖ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๔,๕๐๐ บาท โดยมิได้จดทะเบียนการเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะต่อสัญญาเช่าให้จำเลย จึงบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าแล้วไม่ยอมชำระค่าเช่า เมื่อครบกำหนดที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไป จำเลยและบริวารไม่ยอมออก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑ เดือน ๑๕ วัน เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท และนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารขนย้ายออกไป ขอบังคับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากห้องเช่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทแก่โจทก์กับค่าเสียหายเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะได้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากห้องเช่าและส่งมอบห้องเช่าให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ตกลงให้จำเลยทำการซ่อมแซมตึกแถวจนอยู่ในสภาพใหม่ก่อนที่จำเลยจะเข้าอยู่ โดยโจทก์จะให้จำเลยเช่าต่อไปอีก ๖ ปี นับแต่สัญญาสิ้นสุดจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่า ค่าเสียหายเกินความจริง ฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากห้องเช่า และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๔,๕๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาทจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์และมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้นแต่ประการใดถึงแม้โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเป็นรายเดือนเข้ามาด้วยเป็นจำนวนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นการเรียกค่าเช่าที่คำนวณเป็นค่าเสียหายเข้ามาด้วยอันเกี่ยวพันกันกับฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์นั้นเอง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกนั้นไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยเฉพาะในจำนวนเงินที่เรียกนั้นเท่านั้น จึงเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้จงใจในการหลีกเลี่ยงไม่ยื่นบัญชีระบุพยานและฎีกาว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าจำเลยได้ตกแต่งต่อเติมอาคารพิพาทตามความประสงค์ของโจทก์จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน โดยโจทก์จะให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปอีก ๖ ปี หลังจากสัญญาเช่าเดิมสิ้นสุดลง เมื่ออายุของสัญญาต่างตอบแทนยังไม่ครบ ๖ ปี หลังจากสัญญาเช่าเดิมสิ้นสุดลง เมื่ออายุของสัญญาต่างตอบแทนยังไม่ครบ ๖ ปีโจทก์จึงยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาต่างตอบแทนที่มีอยู่กับจำเลยได้และไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ดังกล่าวข้างต้น
พิพากษายกฎีกาของจำเลย