คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3137/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลอาญาในข้อหาว่ายักยอกเวชภัณฑ์และยาจำนวนเดียวกันกับคดีนี้ ขอให้ลงโทษและให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคายา เป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกเอายาที่เบิกไปจากคลังเวชภัณฑ์อนามัยภาค 6 ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 เพียงครั้งเดียว พิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1กับให้คืนหรือใช้ราคายา คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาเพราะถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนโจทก์ ทั้งโจทก์ต้องห้ามมิให้นำคดีมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 1 อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเอายาที่เบิกครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 แต่พิพากษายกฟ้องเพราะฟังไม่ได้ว่านายธำรง รองผู้ว่าราชการมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าว ทั้งยังได้กล่าวในคำแก้อุทธรณ์ว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้วปะเด็นที่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเอายาที่เบิกเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 ไป จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่านายธำรง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้แทนโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายในการฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ สำหรับยาและเวชภัณฑ์ที่จำเลยที่ 1 เบิกจากคลังเวชภัณฑ์ภาค 6 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2520 แล้วยักยอกเอาไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่า หากจำเลยที่ ๑กระทำผิดหรือละเว้นกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๒ ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายนั้น ๆ จำเลยที่ ๑ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเภสัชกรมีหน้าที่ทำใบเบิก รับ – ส่ง ทำบัญชีเวชภัณฑ์และเขียนใบเสร็จรับเงินค่ายาระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ถึงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ ทุจริตต่อหน้าที่โดยทำใบเบิกเวชภัณฑ์ของศูนย์บริการสาธารณสุข ๒๖ ไปเบิกเวชภัณฑ์และยาชนิดต่าง ๆ จากอนามัยภาค ๖ อันเป็นทรัพย์สินของโจทก์แล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวรวม ๘ ครั้ง เป็นเงินจำนวนหนึ่ง จำเลยที่ ๑ ถูกไล่ออกจากงานเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดด้วย โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ทราบการกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๒๐ จึงได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ ๑ ขณะนี้พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑เป็นคดีอาญา ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาเวชภัณฑ์จำนวน ๑๒๙,๙๕๖.๒๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่และไม่เคยนำเวชภัณฑ์ตามฟ้องเป็นประโยชน์ส่วนตัว จำนวนเวชภัณฑ์และยาตามฟ้องรวมทั้งหมดคำนวณราคาเกินความจริง จำเลยที่ ๑ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างที่ศูนย์บริการสาธารณสุข ๒๖ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ไม่มีหน้าที่แน่นอน ส่วนใหญ่ทำหน้าที่ลูกมือของเภสัชกรเกี่ยวกับการนับจำนวนยา ปิดสลากยา และกรอกยาใส่ขวดปฏิบัติหน้าที่ได้ ๒ ปี แพทย์หญิงพรรณงามให้จำเลยไปเบิกยาทุกชนิดตามแต่จะสั่ง วิธีเบิกยาจำเลยที่ ๑ เป็นผู้เขียนใบเบิก ใบเบิกมี ๒ ชุด คือตัวจริงและสำเนา ตัวจริงส่งให้คลังใหญ่ สำเนาส่งกลับมาที่ศูนย์ การรับยาจากคลังใหญ่จะลงลายมือชื่อรับยาไว้ล่วงหน้า ผู้ลงลายมือชื่อจะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นจำเลยที่ ๑ เมื่อรับยาแล้วก็ช่วยกันขนขึ้นรถ โดยไม่มีการนับหรือตรวจ จากนั้นนำยากลับไปศูนย์เก็บเข้าตู้ยาและใส่กุญแจ ไม่มีการลงลายมือชื่อรับยาเพราะแพทย์หรือเภสัชกรเกรงว่าหากลงลายมือชื่อจะต้องรับผิดชอบ ปฏิบัติเช่นนี้มานานปี การจ่ายยาให้คนไข้ถ้าเป็นคนไข้นอกจึงจะมีใบสั่ง แต่ถ้าคนไข้ภายในไม่มีใบสั่ง เป็นการขอด้วยวาจาต่อแพทย์หรือเภสัชกร เป็นเหตุให้ยาขาดจำนวนได้ง่าย จำเลยที่ ๑ ลาออกจากงานไม่ใช่ถูกไล่ออกภายหลังจำเลยที่ ๑ ทราบว่ายาทางคลังใหญ่หายและได้มีการตรวจสอบ ทางภาค ๖ เข้าใจว่าศูนย์บริการ ๒๖ เบิกยาโดยไม่มีใบเบิกซึ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ก็โยนบาปให้จำเลยที่ ๑ โดยถือว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อรับยามาจากคลังใหญ่ ซึ่งเป็นการลงลายมือชื่อล่วงหน้าก่อนได้ยาตามวิธีการที่กล่าวมาแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า หากจำเลยที่ ๑ เบิกยาไปจริง ก็มิได้นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยจำเลยที่ ๑ ส่งมอบให้ผู้มีอำนาจรับของไปแล้ว และราคาที่แท้จริงไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้โจทก์และการที่จะบังคับเอากับจำเลยที่ ๑ ก็ไม่เป็นการยาก โจทก์ต้องบังคับเอาแก่จำเลยที่ ๑ ก่อน ก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยทวงถาม จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อแรกการที่พนักงานอัยการกรมอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลอาญาในข้อหาว่ายักยอกเวชภัณฑ์และยาจำนวนเดียวกันนี้ ขอให้ลงโทษและให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้ราคายาแก่ผู้เสียหายตามคดีหมายเลขแดงที่ ๑๐๑๓๑/๒๕๒๒ นั้นเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ยักยอกเอายาที่เบิกไปจากคลังเวชภัณฑ์อนามัยภาค ๖ ในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เพียงครั้งเดียว พิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ กับให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้ราคายา ๑๗,๗๔๖.๒๕ บาทแก่ผู้เสียหาย คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๐๑๓๑/๒๕๒๒ ด้วย เพราะถือได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนโจทก์ ทั้งโจทก์ต้องห้ามมิให้นำคดีมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ ๑ อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ที่ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ จึงชอบแล้ว
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อหลังว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ไว้ต่อโจทก์ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในการที่จำเลยที่ ๑ ยักยอกเอายาที่เบิกครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ แต่พิพากษายกฟ้องเพราะฟังไม่ได้ว่า นายธำรงรองผู้ว่าราชการมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ จำเลยที่ ๒ มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวทั้งยังกล่าวในคำแก้อุทธรณ์ด้วยว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว ประเด็นที่จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในการที่จำเลยที่ ๑ ยักยอกเอายาที่เบิกไปเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ไปจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อฟังว่านายธำรง รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้แทนโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายในการฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ สำหรับยาและเวชภัณฑ์ที่จำเลยที่ ๑ เบิกจากคลังเวชภัณฑ์ภาค ๖เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ แล้วยักยอกเอาไป
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันคืนยาและเวชภัณฑ์ ตามรายการลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ แก่โจทก์ หากไม่สามารถคืนได้ให้ใช้ราคาแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share