แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน จำเลยไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปขายโดยโจทก์ไม่ยินยอม จำเลยคงมีสิทธิขายได้เฉพาะส่วนของตนเท่านั้นการที่จำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องจึงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของจำเลย ส่วนของโจทก์ยังคงมีอยู่ตามเดิม
ผู้ร้องเข้าครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทก่อนจำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องนั้น เป็นการเข้าครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ย ถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์จำเลย ส่วนหลังจากจำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องถือได้ว่า ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายซึ่งผู้ร้องได้สิทธิเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้นที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาททั้งแปลงย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วม มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาใช้บังคับไม่ได้
ผู้ร้องขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ดี เสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินพิพาทก็ดี ไม่ปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมได้รู้เห็นในการกระทำดังกล่าวด้วย ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อโจทก์ ผู้ร้องจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์
ข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้ร้องตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะฟ้องขอแบ่งจากจำเลย คำพิพากษาที่ให้จำเลยแบ่งที่ดินที่พิพาทให้โจทก์ จึงไม่มีผลบังคับเอากับผู้ร้อง โจทก์จึงจะยึดที่ดินพิพาทซึ่งเจ้าของรวมคือโจทก์กับผู้ร้องมาขายทอดตลาดไม่ได้ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอแบ่งจากผู้ร้อง
ย่อยาว
คดีนี้ สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่นาจากจำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่นาให้โจทก์ครึ่งหนึ่งแต่โจทก์จำเลยไม่อาจตกลงกันได้ โจทก์จึงนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องได้มาโดยซื้อจากจำเลย เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ในราคา ๔๐,๐๐๐ บาท ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ศาลสั่งถอนการยึดที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน แม้ผู้ร้องจะซื้อที่ดินแปลงนี้จากจำเลยก็ไม่ผูกพันส่วนของโจทก์ เพราะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมมิได้ให้ความยินยอม ผู้ร้องไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินส่วนของโจทก์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว พิพากษาให้ถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกันได้มาโดยมารดายกให้ จำเลยไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ไปขายโดยโจทก์ไม่ยินยอม จำเลยคงมีสิทธิขายได้เฉพาะส่วนของตนเท่านั้น การที่จำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง จึงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของจำเลย ส่วนของโจทก์ยังคงมีอยู่ตามเดิม ที่ผู้ร้องเข้าครอบครองทำกินในที่กินพิพาทก่อนจำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องนั้น เป็นการเข้าครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ยซึ่งถือว่า เป็นการครอบครองแทนโจทก์และจำเลย ส่วนภายหลังจากจำเลยทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องถือได้ว่า ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตามสัญญาซื้อขายซึ่งผู้ร้องได้สิทธิเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้น ที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาททั้งแปลงย่อมถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร่วม มิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายจึงจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗๕ มาใช้บังคับไม่ได้ ส่วนที่ผู้ร้องขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนนายอำเภอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ผู้ร้องก็ดี ผู้ร้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินพิพาทก็ดี ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รู้เห็นในการกระทำดังกล่าวด้วยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองต่อโจทก์ผู้ร้องจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทส่วนของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นของผู้ร้องผู้เดียว แต่โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้ร้องตั้งแต่ก่อนที่โจทก์จะฟ้องขอแบ่งจากจำเลย คำพิพากษาที่ให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์จึงไม่มีผลบังคับเอากับผู้ร้อง โจทก์จึงจะยึดที่ดินที่พิพาทซึ่งเจ้าของรวมคือโจทก์กับผู้ร้องมาขายทอดตลาดไม่ได้ เพราะโจทก์ มิได้ฟ้องขอแบ่งจากผู้ร้อง
พิพากษากลับให้ถอนการยึดที่ดินพิพาท