แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย6 เดือน ริบของกลาง จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายบุกรุกขึ้นบนบ้านจำเลย และใช้กำลังฉุดกระชากจำเลยโดยไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ การที่จำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหายและผู้เสียหายก็เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ จำเลยก็หยุดไม่กระทำต่อถือว่าจำเลยกระทำพอสมควรแก่เหตุอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ภาค 1ที่ฟังว่าจำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหายหลายครั้งจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้คดีจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,80, 288 และริบมีดโต้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 6 เดือนริบมีดโต้ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก บัญญัติว่า ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 6 เดือน ริบของกลางที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่า ผู้เสียหายบุกรุกขึ้นบนบ้านจำเลยและใช้กำลังฉุดกระชากจำเลยโดยไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ จำเลยประสบภยันตรายเช่นนี้จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันภยันตรายได้จำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหาย และผู้เสียหายก็เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ จำเลยก็หยุดไม่ได้กระทำต่อ ถือว่าจำเลยกระทำพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้เสียหายทำร้ายตนนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ฟังว่าจำเลยเหวี่ยงมีดฟันผู้เสียหายหลายครั้งจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัสการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คดีนี้ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนจนจำเลยจำต้องกระทำการเพื่อป้องกันตัว อีกทั้งจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1