คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีล้มละลาย ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยไม่มาศาลศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียวแล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไปการสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ ในนัดต่อมาทนายจำเลยมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยขอสืบพยานตัวจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยต่อไปเช่นนี้ จำเลยนำพยานคือตัวจำเลยเข้าเบิกความได้เพราะจำเลยมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 วรรคสาม (2) ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานเมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควรจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบพยานจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานจำเลยได้มาศาล ศาลชั้นต้นจะถือว่าจำเลยไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11362/2531 หมายเลขแดงที่ 25739/2531 และหมายเลขแดงที่ 25200/2529 ของศาลชั้นต้น และจำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11966/2529 ของศาลชั้นต้นด้วย จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้เพียงบางส่วนโจทก์จึงนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2539 ซึ่งหนี้ตามคำพิพากษาทั้งสี่คดีคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น 9,137,410.07 บาท ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์นัดแรกโดยทราบนัดโดยชอบแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา และสืบพยานโจทก์ไปแต่สืบพยานโจทก์ยังไม่เสร็จโจทก์ขอเลื่อนไปสืบพยานต่อนัดหน้า ในวันที่เลื่อนมาสืบพยานโจทก์ต่อ ทนายจำเลยทั้งสองมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่นำมาสืบ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ทนายจำเลยทั้งสองก็ขอสืบพยานโดยขอสืบตัวจำเลยทั้งสองเพียง 2 ปาก ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้นัดสืบพยานจำเลยในวันที่ 16 พฤษภาคม 2540 และ 16 มิถุนายน 2540 แต่ฝ่ายจำเลยได้ขอเลื่อนคดีทั้งสองนัด โดยนัดแรกอ้างว่าตัวจำเลยที่ 1 ป่วย นัดที่สองอ้างว่าทนายจำเลยทั้งสองป่วย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีทั้งสองนัด แต่กำชับให้เตรียมพยานมาให้พร้อมสืบในวันนัดสืบพยานจำเลย นัดที่สาม ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 6สิงหาคม 2540 ตัวจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยทั้งสองและทนายโจทก์มาศาลทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 จะมีรายได้จากการเซ็นสัญญาก่อสร้าง ทนายโจทก์คัดค้านว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยเสนอเงื่อนไขการชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยโดยให้เหตุผลว่าฝ่ายจำเลยได้ขอเลื่อนคดีมา2 นัดแล้ว และในนัดที่แล้วศาลได้กำชับให้จำเลยเตรียมพยานให้พร้อมสืบทั้งจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะอ้างตัวเองเป็นพยานหรือสืบพยานอื่นของจำเลยทั้งสองและพิพากษาคดีไป

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองเลื่อนคดี และงดสืบพยานจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ขอเลื่อนคดีในการนัดสืบพยานจำเลย 2 ครั้ง แล้ว ซึ่งศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีโดยกำชับให้จำเลยทั้งสองเตรียมพยานให้พร้อมสืบ และเมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 6 สิงหาคม 2540 ทนายจำเลยทั้งสองก็ขอเลื่อนคดีอีกอ้างเหตุว่าจำเลยที่ 1 จะมีรายได้จากการเซ็นสัญญาก่อสร้าง โดยทนายโจทก์ได้คัดค้านว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยเสนอเงื่อนไขการชำระหนี้แก่โจทก์จึงเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย ทั้งไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้และจำเลยทั้งสองมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปอีกจะทำให้เสียความยุติธรรมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่งประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีชอบแล้ว

แต่การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยโดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าจำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะอ้างตนเองเป็นพยานหรือสืบพยานอื่นของจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่าคดีนี้นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยทั้งสองไม่มาศาล ศาลสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาและโจทก์นำพยานเข้าสืบในวันนัดแรกเพียงปากเดียวแล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไป การสืบพยานโจทก์จึงยังไม่เสร็จบริบูรณ์ ในนัดต่อมาทนายจำเลยทั้งสองมาศาลและได้ถามค้านพยานโจทก์ที่มาเบิกความ เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จทนายจำเลยทั้งสองขอสืบพยานตัวจำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นก็ได้อนุญาตและนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไปเช่นนี้จำเลยทั้งสองนำพยานคือตัวจำเลยทั้งสองเข้าเบิกความได้เพราะมาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบ และถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองที่ขาดนัดพิจารณาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบภายหลังที่ตนมาศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสาม (2)ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ดังนั้น ในวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 6 สิงหาคม 2540 เมื่อจำเลยขอเลื่อนคดีและศาลชั้นต้นเห็นว่าการขอเลื่อนคดีไม่มีเหตุสมควร จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ศาลชั้นต้นก็ต้องสั่งให้สืบพยานจำเลยในวันนั้น เพราะตัวจำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานของจำเลยทั้งสองได้มาศาล จะถือว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้เตรียมพยานมาพร้อมสืบตามที่ศาลชั้นต้นกำชับไว้ไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยอ้างเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้นจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสองต่อไป และมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

Share