คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ร. นั่งนับเงินอยู่กับจำเลยทั้งสองในห้อง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเรียกให้เปิดประตู จำเลยทั้งสองไม่ยอมเปิด ร. ได้โอกาสรีบเข้าห้องน้ำนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด ที่เหลือจากการจำหน่ายไปทำลายเพื่อปกปิดการกระทำความผิดของตนโดยจำเลยทั้งสองยืนอยู่หน้าห้องน้ำและจำเลยทั้งสองพูดให้ ร. ทำเร็วๆ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่พวกของตนก่อนหรือขณะกระทำความผิด ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.อ. มาตรา 86
แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสองว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับพวก แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองเป็นผู้สนับสนุนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายมีไม่มากนัก เห็นสมควรปรับน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/1 วรรคสอง ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 5 ปี และปรับคนละ 200,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 4 ปี และปรับคนละ 200,000 บาท รวมจำคุกคนละ 9 ปี และปรับคนละ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองกับนายรังสรรค์ ได้โดยกล่าวหาว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 25 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.548 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 20 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกระทำความผิดกับนายรังสรรค์หรือไม่ โจทก์มีผู้ร่วมจับกุมเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ก่อนจับกุมจำเลยทั้งสองและนายรังสรรค์ ดาบตำรวจเทวินทร์สืบทราบว่านายรังสรรค์มีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่วัยรุ่น โดยนายรังสรรค์จะมาอาศัยนอนอยู่ที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้องเช่าไม่มีเลขที่ ดาบตำรวจเทวินทร์จึงติดต่อสายลับเพื่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายรังสรรค์ ต่อมาสายลับแจ้งว่าได้ติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 20 เม็ด ในราคา 4,600 บาท จากนายรังสรรค์ โดยนายรังสรรค์นัดให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 ดาบตำรวจเทวินทร์จึงรายงานต่อพันตำรวจโทสมยศ และวางแผนจับกุมโดยให้ดาบตำรวจเทวินทร์ไปซุ่มดูการล่อซื้ออยู่ที่บริเวณทางเข้าห้องพัก พันตำรวจโทสมยศจะทำหน้าที่ปล่อยตัวสายลับไปทำการล่อซื้อและมีเจ้าพนักงานตำรวจอีก 1 ชุด เฝ้ารออยู่ที่บริเวณด้านหน้าถนนเพชรเกษมสายเก่าซึ่งเป็นทางเข้าห้องพักของจำเลยที่ 1 เพื่อจะเข้าไปทำการจับกุม โดยพันตำรวจโทสมยศได้นำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 3 ฉบับ ฉบับละ 500 บาท จำนวน 2 ฉบับ และฉบับละ 100 บาท จำนวน 6 ฉบับ รวมเป็นเงิน 4,600 บาท ไปถ่ายสำเนาและลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเพื่อมอบธนบัตรดังกล่าวให้แก่สายลับไปทำการล่อซื้อ หลังจากนั้นดาบตำรวจเทวินทร์ซึ่งซุ่มดูอยู่บริเวณด้านหน้าห้องพักของจำเลยที่ 1 เห็นนายรังสรรค์กับจำเลยทั้งสองเดินมาขึ้นรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน ก – 0126 เพชรบุรี ป้ายแดง ซึ่งจอดอยู่บริเวณถนนเพชรเกษมสายเก่า จึงแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจชุดที่ซุ่มดูอยู่ที่บริเวณด้านหน้าถนนเพชรเกษมสายเก่าทราบทางโทรศัพท์เคลื่อนที่และทราบว่านายรังสรรค์กับจำเลยทั้งสองขับรถมุ่งหน้าไปทางตำบลบางจาน ต่อมานายรังสรรค์กับจำเลยทั้งสองขับรถกลับมาจอดที่บริเวณด้านหน้าคลินิกทันตกรรมทันตลักษณ์ นายรังสรรค์กับจำเลยทั้งสองได้เข้าไปที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 ดาบตำรวจเทวินทร์จึงโทรศัพท์แจ้งให้พันตำรวจโทสมยศปล่อยตัวสายลับเพื่อเข้าไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน ต่อมาดาบตำรวจเทวินทร์เห็นสายลับขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าห้องพักของจำเลยที่ 1 สายลับจอดรถแล้วเดินเข้าไปในห้อง หลังจากนั้นประมาณ 5 นาทีสายลับเดินออกมาจากห้องแล้วเปิดไฟหน้ารถจักรยานยนต์เพื่อส่งสัญญาณแจ้งให้ดาบตำรวจเทวินทร์ทราบว่าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว ดาบตำรวจเทวินทร์จึงเดินไปที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 เพื่อจะเปิดประตูปรากฏว่าประตูล็อกจึงได้มองผ่านไปทางบานเกร็ดหน้าต่างเห็นนายรังสรรค์กับจำเลยทั้งสองกำลังนับเงินและในห้องมีผู้หญิงอีก 1 คน ทราบชื่อภายหลังว่านางสาวพันทิพา กำลังนอนหลับอยู่ จากนั้นพันตำรวจโทสมยศกับพวกได้ตามมาสมทบจึงเคาะประตูห้องพร้อมกับแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจให้นายรังสรรค์กับจำเลยทั้งสองเปิดประตู แต่นายรังสรรค์ได้รวบรวมเงินที่กองอยู่ที่พื้นแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำภายในห้องพัก และได้ยินเสียงราดน้ำลงไปบริเวณโถส้วม โดยจำเลยทั้งสองคอยยืนดูว่านายรังสรรค์ทำลายหลักฐานทันหรือไม่ ดาบตำรวจเทวินทร์กับพันตำรวจโทสมยศได้ตะโกนเรียกให้เปิดประตูจนกระทั่งนางสาวพันทิพาได้ลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ พยานทั้งสองจึงเข้าไปควบคุมตัวนายรังสรรค์กับจำเลยทั้งสอง ตรวจค้นภายในห้องพักพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกียจำนวน 1 เครื่อง สมุดแสดงรายรับรายจ่าย และตรวจสอบบริเวณโถส้วมซึ่งได้มีการทุบโถส้วมพบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ฉบับละ 500 บาท และ 100 บาท และธนบัตรอีกหลายฉบับรวมเป็นเงิน 10,900 บาท และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด บรรจุอยู่ในหลอดกาแฟปิดหัวและท้ายอยู่ในโถส้วม และโจทก์มีพันตำรวจโทสุเมธ พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้แจ้งข้อหาแก่นายรังสรรค์และจำเลยทั้งสองว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน นายรังสรรค์ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ เห็นว่า จากการสืบสวนจับกุม ทราบแต่เพียงว่านายรังสรรค์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยทั้งสองมิได้เกี่ยวข้องด้วย ส่วนดาบตำรวจเทวินทร์รับหน้าที่แอบซุ่มดูการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนเบิกความว่า เห็นสายลับเดินเข้าไปในห้อง จากนั้น 5 นาที สายลับเดินมาจากห้องเพียงคนเดียวและยังตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าบริเวณที่พยานแอบซุ่มดูอยู่มองเข้าไปในห้องพักไม่สามารถมองเห็นได้ แสดงว่าพยานมองไม่เห็นการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนและเงินให้แก่กัน และจำเลยทั้งสองจะเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับด้วยหรือไม่ โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน แม้จำเลยทั้งสองยอมรับว่าสำเนาธนบัตรจะมีหมายเลขตรงกับธนบัตรที่พบในโถส้วม ซึ่งนายรังสรรค์ยอมรับว่าได้มาจากการที่ตนจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ และจำเลยที่ 1 จะเป็นเจ้าของห้องเช่าที่เกิดเหตุ โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดที่จะบ่งชี้ชัดว่าจำเลยทั้งสองร่วมกับนายรังสรรค์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยทั้งสองร่วมกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องความผิดร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับฐานความผิดร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เห็นว่า ดาบตำรวจเทวินทร์เข้าไปที่ห้องเกิดเหตุแอบดูทางหน้าต่างบานเกร็ดเห็นนายรังสรรค์นั่งนับเงินอยู่กับจำเลยทั้งสอง เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเรียกให้เปิดประตู จำเลยทั้งสองไม่ยอมเปิด เปิดโอกาสให้นายรังสรรค์รีบเข้าห้องน้ำนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด ไปทำลายเพื่อปกปิดการกระทำความผิดของตน โดยจำเลยทั้งสองยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ซึ่งพันตำรวจโทสมยศยืนยันว่าจำเลยทั้งสองพูดให้นายรังสรรค์ทำเร็วๆ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายรังสรรค์ก่อนหรือขณะกระทำความผิด ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ในข้อหานี้ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสองว่าเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับนายรังสรรค์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share