คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1209/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลมีคำสั่งอายัดเงินฝากของจำเลยที่ 1 ในครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2524 นั้น เป็นคำสั่งอายัดในคดีอื่น ซึ่งจำเลยที่ 3 ในคดีนี้เป็นโจทก์ และขณะนั้นจำเลยที่ 1 มีเงินฝากประจำอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด จำนวน 2,000,000 บาทแต่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารโดยยินยอมให้นำเงินฝากประจำ 1,000,000 บาทมาเป็นประกัน หลังจากที่ศาลมีคำสั่งอายัดเงินฝากครั้งแรกแล้วนั้น แม้จำเลยที่ 1จะมาขอเบิกเงินและธนาคารได้จ่ายให้ไป ก็เป็นการจ่ายไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งอายัดในคดีนี้ ซึ่งสั่งอายัดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 ทั้งยังปรากฏว่าในคดีนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำเลยชนะคดี คำสั่งอายัดชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาย่อมเป็นอันยกเลิกไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 การที่ธนาคารจ่ายเงินให้แก่จำเลยไปก่อนที่จะมีคำสั่งอายัดทรัพย์ในคดีนี้ จะถือว่าเป็นความผิดของธนาคารเป็นเหตุให้โจทก์คดีนี้ต้องเสียหายหาได้ไม่.(ที่มา-เนติ)

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ธนาคารกรุงไทย จำกัดส่งเงินจำนวน 880,574.48 บาท ต่อศาลภายใน 30 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ตามทางไต่สวนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมนายชาญ สิงหพันธ์ ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายสว่าง เกษโกวิท ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1/2524 ของศาลจังหวัดตราด ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวนั้นศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอายัดเงินฝากของจำเลยซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด โดยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2524 ให้อายัดเงินฝากของจำเลยไว้เป็นเงิน1,166,666 บาท 66 สตางค์ ต่อมากรมสรรพากรได้เป็นโจทก์ฟ้องนายสว่าง เกษโกวิท จำเลยที่ 1 กับพวก ให้ชำระหนี้ค่าภาษีอากร เป็นคดีเรื่องนี้ (คดีดำที่ 68/2525 ของศาลชั้นต้น) และโจทก์ในคดีนี้ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินฝากของจำเลยที่ 1 ซึ่งฝากไว้ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้อายัดเงินฝากของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ตามคำสั่งลงวันที่ 5 ตุลาคม 2525 โดยให้อายัดเงินฝากจำนวน 1,666,666 บาท66 สตางค์ เท่ากับจำนวนเงินที่ศาลได้เคยสั่งอายัดไว้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1/2524 ต่อมาวันที่ 2 มิถุนายน 2526 ธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาตราด ได้ส่งเงินต่อศาลชั้นต้นตามที่อายัดไว้ในคดีนี้เป็นเงิน 120,323 บาท 60 สตางค์ โดยอ้างว่า เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วจำเลยที่ 1 มีเงินฝากพร้อมด้วยดอกเบี้ยอยู่ที่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด เพียงเท่านี้ ปัญหาวินิจฉัยจึงมีว่าธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้คัดค้าน จะต้องรับผิดส่งเงินต่อศาลตามคำสั่งอายัดในคดีนี้อีกหรือไม่โจทก์ฎีกาว่าธนาคารกรุงไทยจำกัด ผู้คัดค้าน จะต้องส่งเงินอีกเป็นจำนวน 880,574 บาท 48สตางค์ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น เพราะเป็นความผิดของธนาคารผู้คัดค้านเองที่ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ถอนเงินออกไปทั้งๆที่ศาลได้มีคำสั่งอายัดเงินฝากของจำเลยที่ 1 ไว้แล้ว พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งอายัดเงินฝากของจำเลยในครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2524 นั้น เป็นคำสั่งอายัดในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1/2524 ซึ่งนายชาญ สิงหพันธ์ เป็นโจทก์ และข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะนั้นจำเลยมีเงินฝากประจำอยู่ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด จำนวน 2,000,000 บาท แต่จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราดโดยยินยอมให้นำเงินฝากประจำ 1,000,000 บาท มาเป็นประกันหลังจากที่ศาลมีคำสั่งอายัดเงินฝาก เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2524 แล้วนั้นแม้จำเลยมาขอเบิกเงินและธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด ได้จ่ายให้ไปก็เป็นการจ่ายไปก่อนที่จะมีคำสั่งอายัดในคดีนี้ทั้งยังปรากฏว่าในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1/2524 นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำเลยชนะคดี คำสั่งอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาย่อมเป็นอันยกเลิกไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 ต่อมาเมื่อศาลมีคำสั่งอายัดเงินฝากเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการอายัดทรัพย์ในคดีนี้เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2525 นั้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด ได้ทำการหักบัญชีหนี้เกี่ยวกับการเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว คงเหลือเงินที่จะต้องคืนแก่จำเลยหรือส่งต่อศาลเพียง 120,323 บาท60 สตางค์ การที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตราด จ่ายเงินให้แก่จำเลยไปก่อนที่จะมีคำสั่งอายัดทรัพย์ในคดีนี้นั้น จะถือว่าเป็นความผิดของธนาคาร เป็นเหตุให้โจทก์คดีนี้ต้องเสียหายหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของโจทก์ โดยธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้คัดค้าน ไม่ต้องส่งเงินต่อศาลอีกนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share