คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3127/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยใช้ขวานและค้อนเป็นอาวุธฟันและตีทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง แต่สาเหตุของการทำร้ายไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเกิดเหตุ สาเหตุการทำร้ายเป็นเพราะความไม่พอใจกันในหมู่ญาติ ขณะเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ต่างมีอาการเมาสุราและสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน เมื่อมีผู้ห้ามต่างก็เลิกรากันไป ทั้งขนาดของคมขวานยาว 3 นิ้ว สันขวานหนาเพียง 1 นิ้วครึ่ง เป็นขวานขนาดเล็กเฉพาะความยาวของขวานรวมทั้งด้ามมีความยาว 14 นิ้วครึ่ง ส่วนขนาดของค้อนไม่ปรากฏและแม้จะปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่หางคิ้วซ้ายยาว 1.5 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก บาดแผลที่เหนือท้ายทอยยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก กับบาดแผลฉีกขาดที่ริมฝีปากด้านบนยาว 4 เซนติเมตร ส่วนผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณศีรษะด้านหน้ายาว 5 เซนติเมตร ลึกถึงกระโหลกก็ตาม แต่บาดแผลของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 หายเป็นปกติภายใน 10 วัน และ 7 วันไม่ถือว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ขวานฟันและใช้ค้อนตีผู้เสียหายทั้งสองโดยแรง ดังนี้ จำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาฆ่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192ไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำฟ้อง โทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 2 ปี จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 เป็นความผิด2 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 10 ปี รวมโทษจำคุก20 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 13 ปี 4 เดือน ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงฟังได้ว่าจำเลยใช้ขวานเป็นอาวุธฟันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย แต่เมื่อคำนึงถึงสาเหตุของการทำร้ายก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเกิดเหตุ สาเหตุการทำร้ายเป็นเพราะความไม่พอใจกันในหมู่ญาติ ขณะเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ต่างมีอาการเมาสุราเชื่อว่าต่างสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน แม้จะฟังได้ว่า จำเลยใช้ขวานของกลางเป็นอาวุธฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 1และใช้ค้อนตีผู้เสียหายที่ 2 แต่ขนาดของคมขวานยาว 3 นิ้วสันขวานหนาเพียง 1 นิ้วครึ่งแสดงว่าเป็นขวานขนาดเล็ก เฉพาะความยาวของขวานรวมทั้งด้ามมีความยาว 14 นิ้วครึ่ง ส่วนขนาดของค้อนไม่ปรากฏตามคำฟ้อง สำหรับลักษณะและตำแหน่งของบาดแผลตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์แม้จะปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1มีบาดแผลที่หางคิ้วซ้ายยาว 1.5 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก บาดแผลที่เหนือท้ายทอยยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูก กับบาดแผลฉีกขาดที่ริมฝีปากด้านบนยาว 4 เซนติเมตร ส่วนผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณศีรษะด้านหน้ายาว 5 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกก็ตามแต่แพทย์ก็ได้บันทึกต่อไปว่า ปกติบาดแผลของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2จะหายเป็นปกติภายใน 10 วัน และ 7 วัน ตามลำดับจึงยังไม่พอถือว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์ แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ขวานฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยแรง ตามพฤติการณ์ของความผิดเชื่อได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายทั้งสองต่างสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันในหมู่ญาติ เมื่อมีผู้ห้ามต่างก็เลิกรากันไป ข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวฟังได้เพียงว่า จำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้นไม่ใช่เจตนาฆ่าดั่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192 วรรคหนึ่ง ไม่เป็นการพิพากษาเกินกว่าคำฟ้อง
ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาการมึนเมาสุรา กระทำความผิดไปด้วยความโกรธเพียงชั่ววูบและเป็นการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นญาติโดยผู้เสียหายทั้งสองไม่ได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส จำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายด้วยการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายทั้งสองเป็นเงิน 4,000 บาท จนเป็นที่พอใจแก่ผู้เสียหายทั้งสองผู้เสียหายทั้งสองไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน มีเหตุสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี ประกอบกับโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 2 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้จึงให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ จึงให้ลงโทษปรับแก่จำเลยด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 เป็นความผิด 2 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี และปรับกระทงละ 3,000 บาท รวมโทษจำคุก 4 ปีและปรับ 6,000 บาท คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยมีกำหนด2 ปี 8 เดือน และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกแต่ละกระทงให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29และ 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share