คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันในขณะที่ไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวเท่ากับจำเลยกล่าวอ้างว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ถูกต้อง โจทก์ต้องนำสืบถึงข้อกล่าวอ้างของโจทก์ให้ปรากฏ ซึ่งต้องอาศัยหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐาน เมื่อหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ย่อมใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ โดยจำเลยที่ 2ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมดังกล่าว ครบกำหนดชำระจำเลยไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 60,356 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน34,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกัน แต่ขณะนั้นหนังสือสัญญาค้ำประกันยังไม่ได้กรอกจำนวนเงินหรือข้อความใด ๆ หนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์จำนวน34,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2532 เป็นต้นไป กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายอีก 400 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.1 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์และโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 2 ให้การรับว่า ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.1 จริง แต่ขณะลงลายมือชื่อยังไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าว พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยที่ 2 มิได้ยอมรับว่าได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกัตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์เขียนข้อความในหนังสือสัญญาค้ำประกันเองโดยจำเลยที่ 2 ไม่รู้เห็นยินยอม คำให้การของจำเลยที่ 2ดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวอ้างว่าเอกสารหนังสือสัญญาค้ำประกันไม่ถูกต้อง จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ให้การรับว่า จำเลยที่ 2 ค้ำประกันเงินกู้จำเลยที่ 1 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ได้ โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบถึงข้อกล่าวอ้างของโจทก์ให้ปรากฏ และการจะนำสืบถึงข้อกล่าวอ้างดังกล่าว โจทก์ก็ต้องอาศัยเอกสารหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐาน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ จึงใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 และสัญญาค้ำประกันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง บัญญัติว่าอนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ดังนี้ เมื่อคดีโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์มีเอกสารหนังสือสัญญาค้ำประกันมาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share