แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามสัญญาจ้างระหว่างจำเลยและโจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะจ้างโจทก์ทำงานให้จำเลยตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2538ถึงวันที่ 31 มกราคม 2542 ติดต่อกันไป แต่มีการแบ่งเป็นสัญญาช่วงสั้น ๆ หลายช่วงโดยมีการกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของสัญญาเป็นช่วง ๆ ต่อเนื่องกันไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ทำงานติดต่อกันโดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย จึงต้องด้วยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 20ที่ให้นับระยะเวลาการทำงานทุกช่วงเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการได้สิทธิของลูกจ้างนั้น
ย่อยาว
คดีสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันกับคดีหมายเลขดำที่ 14539/2542, 14540/2542 และ16869 ถึง 16872/2542 ของศาลแรงงานกลาง โดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 แต่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5ที่ 6 ถอนฟ้องไปแล้ว และคดีสำหรับโจทก์ที่ 4 ยุติโดยศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีสำนวนนี้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2538 จำเลยจ้างโจทก์ที่ 7 เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 11,000 บาท ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 7 เมื่อปี 2542 โดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 7 เป็นเงิน66,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 7 เคยเป็นลูกจ้างของจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,500 บาท โจทก์ที่ 7 ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย เนื่องจากจำเลยจ้างโจทก์ที่ 7 ทำงานเป็นครั้งคราวมีกำหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอน โดยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือเมื่อเริ่มจ้างเข้าทำงาน และมีกำหนดการสิ้นสุดหรือผลสำเร็จของงานซึ่งจำเลยได้รับการว่าจ้างจากผู้ว่าจ้างโดยมีกำหนดไม่เกิน 2 ปี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้างโจทก์ที่ 7 ได้ออกจากงานไปตามสัญญาดังกล่าวและสัญญาจ้างสิ้นสุดลงไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 7 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 8,500 บาท จำเลยจ้างโจทก์ที่ 7 เข้าทำงานเป็นระยะเวลาติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 31มกราคม 2542 โดยให้โจทก์ที่ 7 ไปทำงานในโครงการที่จำเลยทำไว้กับบริษัทผู้ว่าจ้างเริ่มตั้งแต่โครงการไทยคาโปแล็คตั้ม ดี 056โครงการทาสโกอาร์ซีเอดี 080 และโครงการไทยเอ็มเอ็ม เอ ดี 090จำเลยหักเงินภาษีและเงินสะสมที่โจทก์ที่ 7 ทำงานกับจำเลยไว้และจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ที่ 7 มาโดยตลอด แสดงว่ามีเจตนาที่จะว่าจ้างการทำงานกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2538จนถึงปี 2542 ไม่มีเจตนาให้โจทก์ที่ 7 ออกจากงานอย่างจริงจังยังคงให้มีการทำงานกันต่อไป เป็นการทำสัญญาในลักษณะที่จะหลีกเลี่ยงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 118 เพื่อจำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 7เมื่อออกจากงาน จึงต้องถือว่าจำเลยว่าจ้างโจทก์ที่ 7 ติดต่อกันมาตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2542เป็นการทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี (ที่ถูกไม่ครบ 6 ปี)จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน คิดเป็นเงิน 51,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยถือว่าเป็นการผิดนัดไม่ชำระให้แก่โจทก์ที่ 7พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 7 จำนวน 51,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ข้อสามว่า การที่ศาลแรงงานกลางอาศัยบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 20 นำเอาระยะเวลาตามสัญญาจ้างระหว่างจำเลยและโจทก์ที่ 7 แต่ละฉบับมานับรวมกันเพื่อเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยเป็นการไม่ถูกต้องนั้นเห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า สัญญาจ้างระหว่างจำเลยและโจทก์ที่ 7 จำเลยมีเจตนาที่จะจ้างโจทก์ที่ 7 ทำงานให้จำเลยตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2542 ติดต่อกันไปแต่มีการแบ่งเป็นสัญญาช่วงสั้น ๆ หลายช่วงโดยมีการกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของสัญญาเป็นช่วง ๆ ต่อเนื่องกันไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ที่ 7 ไม่ได้ทำงานติดต่อกัน โดยจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายจึงเข้ากรณีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541มาตรา 20 ที่ให้นับระยะเวลาการทำงานทุกช่วงเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการได้สิทธิของลูกจ้างนั้น คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว”
พิพากษายืน