คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5988/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ควบคุมและจัดเก็บค่าธรรมเนียม ตลอดทั้งภาษีเกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน แต่จำเลยกลับรับค่าธรรมเนียมดังกล่าวโดยไม่ออกใบเสร็จรับเงินแล้วนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตน รวมทั้งเรียกเก็บเงินเกินอัตราที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองอันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
วันเวลาเกิดเหตุในคำฟ้องเป็นเพียงรายละเอียด ไม่ใช่สาระสำคัญของคำฟ้องแม้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเวลากระทำผิดที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเวลาที่กล่าวในฟ้อง แต่จำเลยก็นำสืบรับว่าได้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ดังนี้ จำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
กรณีที่เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้น ต้องเป็นหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายหรือที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงย่อมไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ จ. ฉ.และช. แต่เพียงว่า จำเลยมีหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ควบคุมและดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมภาษีเงินได้เกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ มิได้บรรยายว่า จำเลยมีหน้าที่ในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือรับค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ด้วยแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์บรรยายในฟ้องข้อ จ. ฉ.และช. ดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดิน 4 เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 4 สำนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ดมีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ควบคุมและดำเนินการจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียม ภาษีเงินได้เกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ ได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,149, 157 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 986/2535ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 7 กระทงเป็นจำคุก 14 ปี ส่วนคำขอที่ให้นับโทษต่อให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามคำฟ้องข้อ จ. ฉ. และ ช. ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเคยรับราชการตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน 4 สำนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ดมีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ดำเนินการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ควบคุมและจัดเก็บค่าธรรมเนียมตลอดทั้งภาษีเกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ สำหรับข้อหาความผิดตามคำฟ้องข้อ ก. ข. ค. และ ง. ตามฎีกาของจำเลยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ควบคุมและจัดเก็บค่าธรรมเนียม ตลอดทั้งภาษีเกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน แต่จำเลยกลับรับค่าธรรมเนียมดังกล่าวโดยไม่ออกใบเสร็จรับเงินแล้วนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตน รวมทั้งเรียกเก็บเงินเกินอัตราที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองอันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ที่จำเลยฎีกาว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องข้อ ก. จำเลยยังมิได้ย้ายมารับราชการที่สำนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเมยวดี จำเลยเพิ่งย้ายมารับราชการที่สำนักงานที่ดินกิ่งอำเภอเมยวดีตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2530 และโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดวันที่ 25 สิงหาคม 2529 แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าเหตุเกิดเมื่อประมาณต้นปี 2531ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองนั้น เห็นว่า เวลาเกิดเหตุในคำฟ้องเป็นเพียงรายละเอียดไม่ใช่สาระสำคัญของคำฟ้องแม้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเวลากระทำผิดที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเวลาที่กล่าวในฟ้อง แต่จำเลยก็นำสืบรับว่าได้เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างนายเมธีกับนายสง่า จากนายเมธีและนายสง่า 100 บาท จำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

ส่วนที่เกี่ยวกับข้อหาความผิดตามฟ้องข้อ จ. ฉ. และ ช. ตามฎีกาของโจทก์นั้นโจทก์บรรยายคำฟ้องข้อ จ. ฉ. และ ช. ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดังกล่าวได้บังอาจปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตรับเงินจากนายบุญเกิดศรีดี นายลี ไชยดำ และนายสี ศรีสนอง เป็นค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยไม่ออกหลักฐานใบเสร็จรับเงินแล้วนำเงินที่รับมาเป็นประโยชน์ส่วนตนไม่นำส่งเจ้าหน้าที่การเงินนั้น เห็นว่ากรณีที่เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้น ต้องเป็นหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายหรือที่ได้รับมอบหมายเท่านั้นถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรงย่อมไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องข้อ จ. ฉ. และ ช. แต่เพียงว่าจำเลยมีหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ควบคุมและดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียม ภาษีเงินได้เกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ มิได้บรรยายว่าจำเลยมีหน้าที่ในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือรับค่าธรรมเนียมการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ด้วยแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์บรรยายในฟ้องข้อ จ. ฉ. และ ช. จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

พิพากษายืน

Share