แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นเดียวว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทหรือไม่ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาได้โดยไม่จำต้องหยิบยกประเด็นที่ว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย ข้อวินิจฉัยของศาลดังกล่าวไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นมาตรา 167 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้ศาลสั่งลงไว้ในคำพิพากษาไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่และมาตรา 161ก็บัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามคำท้าที่โจทก์ไม่ติดใจเรียกให้จำเลยรับผิดตามคำขอท้ายฟ้องข้ออื่นนั้นคำว่าข้ออื่นมิได้หมายความถึงค่าฤชาธรรมเนียมด้วย ศาลจึงต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าตึกแถวเลขที่ 188/1 ไปจากโจทก์ จำเลยค้างชำระค่าเช่าโจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวเลิกการเช่า ให้จำเลยและบริวารออกไปจำเลยทราบคำบอกกล่าวแล้วไม่ยอมออก โจทก์ได้ขายตึกแถวที่เช่านี้แก่ผู้มีชื่อไปแล้วจะต้องส่งมอบภายในสองเดือน ขอให้บังคับให้จำเลยและบริวารออกไปและเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวพิพาทเพราะโจทก์ได้ขายไปแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ห้องเช่าเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่าโจทก์ตกลงตามฟ้องแย้ง จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นให้จำเลยนำสืบก่อน วันนัดสืบพยานจำเลยคู่ความต่างส่งเอกสารและรับรองต่อกันว่าถูกต้อง ต่างไม่ติดใจสืบพยานโดยโจทก์จำเลยท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นเดียวว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยหรือไม่ ถ้าโจทก์ชนะจำเลยยอมออกไปจากตึกแถวพิพาท ถ้าโจทก์แพ้ให้ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยต่างไม่ติดใจเรียกให้รับผิดตามคำขอท้ายฟ้องในข้ออื่นและตามฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าแม้โจทก์มิใช่เจ้าของตึกแถวพิพาทโจทก์ก็มีสิทธิให้เช่าได้นั้นเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นและได้มอบอำนาจให้นายสมโชคฟ้องคดีนี้โดยชอบหรือไม่ และจำเลยไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่คู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นเดียวว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยหรือไม่ เมื่อไม่มีการสืบพยานศาลย่อมวินิจฉัยคดีจากคำฟ้องคำให้การและฟ้องแย้ง คำให้การแก้ฟ้องแย้ง ตลอดจนเอกสารที่คู่ความยื่นต่อศาลและรับรองแล้ว เมื่อศาลฟังว่าจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาได้ โดยไม่จำต้องหยิบยกประเด็นที่ว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในตึกแถวที่ให้เช่าหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย จำเลยจะโต้เถียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ เมื่อวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว โจทก์ย่อมมอบอำนาจให้นายสมโชค มีไชยโย ฟ้องคดีได้ข้อวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เพราะตามคำท้าโจทก์ไม่ติดใจเรียกให้จำเลยรับผิดตามคำขอท้ายฟ้องข้ออื่นนั้น เห็นว่าคำว่าข้ออื่นในคำท้านั้น หมายถึงการเรียกค่าเช่าค่าเสียหายที่ปรากฏในคำขอท้ายฟ้อง มิได้หมายถึงค่าฤชาธรรมเนียมด้วย เพราะค่าฤชาธรรมเนียมนั้นมาตรา 167 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้ศาลสั่งลงไว้ในคำพิพากษาไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่ และมาตรา 161 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาและมีคำสั่งในเรื่องนี้จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน