คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3113/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีรายได้จากการค้ามันอัดเม็ด โจทก์เสียภาษีประจำปีพ.ศ. 2519 ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินหมายเรียกให้โจทก์ส่งบัญชีและหลักฐานเอกสารประกอบการลงบัญชีเพื่อตรวจสอบเงินได้ประจำปี โจทก์ให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า ไม่สามารถส่งหลักฐานเพราะไม่ได้จัดทำบัญชีไว้ เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้ที่โจทก์ต้องเสียเพิ่มสำหรับปี พ.ศ. 2519 โดยคิดหักค่าใช้จ่ายเทียบเคียงกับการหักค่าใช้จ่ายแบบการเหมาในอัตรา ร้อยละ 85 ตามมาตรา8 ข้อ 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2505 โจทก์ก็ยอมรับโดยไม่โต้แย้งถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิในการที่จะนำหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าโจทก์มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรมากกว่าที่ถูกหัก การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงถือได้ว่าเป็นการหักค่าใช้จ่ายให้ตามความจำเป็นและสมควรและเป็นการประเมินที่ชอบแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือ ภ.ง.ด. ๑๑ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ฉบับที่ ๙/๒๕๑๙ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๑ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ภ.ส. ๗ เลขที่/ที่ กค.๐๘๔๒/๒๕๒๙ ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๒๙ ของจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ กับขอให้โจทก์ต้องชำระภาษีเงินได้สำหรับปีภาษี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเงิน ๖๔,๕๔๑.๙๓ บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (เพิ่มเติม) สำหรับเงินได้ของโจทก์ประจำปี พ.ศ. ๒๕๑๙ และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้กระทำโดยชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทุกประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือ ภ.ง.ด. ๑๑ ประจำปี พ.ศ.๒๕๑๙ ฉบับที่ ๙/๒๕๑๙ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๑ และให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ ภ.ส. ๗ เลขที่ กค.๐๘๔๒/๒๕๒๙ ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๒๙ ของจำเลยที่ ๒, ที่ ๓ และที่ ๔ เสีย ให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้สำหรับปีภาษี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเงิน ๕๒๓,๔๓๖.๘๒ บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อนายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา เจ้าพนักงานประเมินสำหรับท้องที่จังหวัดชลบุรีของจำเลยที่ ๑ ตรวจสอบพบหลักฐานว่าโจทก์มีเงินได้มากกว่า ๒๕๐,๐๐๐ บาท โดยมีเงินได้จากการขายมันอัดเม็ด๑๑,๓๔๖,๙๘๗ บาท นายสมบูรณ์ ไพบูลย์ศิริ เจ้าพนักงานประเมินจึงออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีที่ต้องจัดทำตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๕ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ และหรือบัญชีที่ต้องจัดทำตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด รวมทั้งหลักฐานเอกสารประกอบการลงบัญชี และบัญชีเงินฝากธนาคารทุกธนาคารจำนวน พ.ศ. ๒๕๑๙ ไปส่งมอบเพื่อการตรวจสอบ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๒๓ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นางกิมตึ้ง แซ่ตั๊นไปให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินนางกิมตึ้งให้การว่าโจทก์ไม่ได้จัดทำบัญชีที่ต้องจัดทำตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๕ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ และบัญชีที่ต้องจัดทำตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด จึงไม่สามารถส่งหลักฐานเอกสารให้ตรวจสอบ ซึ่งต่อมาวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๑โจทก์ได้ไปให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินอีกว่าไม่สามารถส่งหลักฐานเพราะไม่ได้จัดทำบัญชีไว้ การที่โจทก์เบิกความว่าโจทก์ได้มีหลักฐานค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของโจทก์ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๔, จ.๕, จ.๙, จ.๑๐/๑, จ.๑๐/๒, และจ.๑๐/๓ แต่เจ้าพนักงานประเมินหมายเรียกให้โจทก์ส่งบัญชีอย่างเดียว ไม่ได้เรียกให้ส่งหลักฐานโจทก์จึงไม่ได้ส่งให้ ศาลฎีกาได้ตรวจหมายเรียกเอกสารหมาย ล.๒ แล้ว ปรากฏว่าในหมายเรียกระบุให้โจทก์ส่งบัญชีและหลักฐาน เอกสารประกอบการลงบัญชี เพื่อตรวจสอบเงินได้ประจำปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ของโจทก์ ถ้าโจทก์มีหลักฐานจริงก็น่าจะส่งให้เจ้าพนักงานประเมิน แต่โจทก์อ้างว่าไม่ได้ทำบัญชีไว้ จึงไม่สามารถส่งหลักฐานได้ และขอให้เจ้าพนักงานประเมินหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาถือได้ว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมิน เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้ที่โจทก์ต้องเสียเพิ่มสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๑๙ และคิดหักค่าใช้จ่ายโดยเทียบเคียงกับการหักค่าใช้จ่ายแบบการเหมาในอัตราร้อยละ ๘๕ ตามมาตรา ๘ ข้อ ๒๓ แห่งพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๐๒จึงถือได้ว่าเป็นการหักค่าใช้จ่ายให้ตามความจำเป็นและสมควรแล้ว ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับโดยไม่โต้แย้งแต่อย่างใดในชั้นประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน แม้ต่อมาโจทก์ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กับได้ส่งหลักฐานเอกสารค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของโจทก์ แต่กรณีก็ถือได้ว่าโจทก์ได้สละสิทธิในการที่จะนำหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าโจทก์มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรมากกว่าที่ถูกหักเสียแล้ว โจทก์จะกลับมาอ้างว่าหลักฐานมีอยู่จึงไม่ควรแก่การรับฟัง นอกจากนี้เอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลนั้นไม่มีพยานบุคคลมาสืบรับรองถึงความถูกต้อง จึงเลื่อนลอยรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้มีรายการค่าใช้จ่ายอันจำเป็นตามเอกสารเหล่านั้น การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share