คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกถังเหล็กมาตามถนน เห็นสายไฟฟ้าพาดขวางถนนอยู่ข้างหน้า จำเลยที่ 1 น่าจะต้องคิดว่าความสูงของของที่บรรทุกมาจะลอดพ้นได้หรือไม่ และควรจะค่อย ๆ เคลื่อนรถลอดใต้สายเคเบิลนั้น โดยให้คนในรถดูว่าจะพันได้หรือไม่ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ทำดังนั้น คงขับต่อไปด้วยความเร็วเพราะคิดว่าลอดพันได้ เป็นเหตุให้ถังเหล็กที่บรรทุกมาเกี่ยวสายไฟฟ้าจนทำให้เสาไฟฟ้าล้มไป 13 ต้น ดังนี้ เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 กระทำขึ้น
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยอื่นให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ทางพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบต้องกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดและเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 5 น – 3820 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2523จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว บรรทุกถังเหล็กสำหรับบรรจุของเหลวสูงประมาณ 2.75 เมตร ไม่รวมตัวรถบรรทุกซึ่งสูงประมาณ 1.20 เมตร ไปตามถนนรังสิต-ปทุมธานี โฉมหน้าไปทางปทุมธานีเมื่อถึงที่เกิดเหตุตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี มีสายโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยทอดข้ามถนน จำเลยที่ 1 คิดว่าขับรถยนต์ดังกล่าวลอดสายโทรศัพท์พ้นจึงได้ขับรถลอดด้วยความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผลปรากฏว่า คอของถังเหล็กเกี่ยวสายโทรศัพท์สายโทรศัพท์ไม่ขาดแต่ดึงเสาไฟฟ้าที่ขึงสายโทรศัพท์ล้มไป 13 ต้น เจ้าพนักงานตำรวจได้ติดต่อจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ได้นำตัวจำเลยที่ 1 ไปมอบต่อพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนได้ปรับจำเลยที่ 1 1,000 บาท และจำเลยที่ 3 ได้ตกลงกับการไฟฟ้านครหลวง โจทก์ว่า จะชดใช้ค่าเสียหายให้ ปัญหาคงมีในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายขึ้นหรือไม่…พิเคราะห์แล้วจำเลยที่ 1 เบิกความว่า ก่อนถึงทางรถไฟประมาณ 20 เมตร จำเลยที่ 1 เห็นสายไฟฟ้าพาดขวางถนนอยู่ข้างหน้า ระดับสูงกว่าพื้นถนนเท่าใดประมาณไม่ได้ แต่คิดว่าสามารถขับรถยนต์ลอดใต้สายไฟฟ้านั้นพ้น จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ปรากฏว่าไม่พ้น ถังเหล็กที่บรรทุกมาเกี่ยวสายไฟฟ้าเป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าล้ม จำเลยที่ 1 ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงขับรถยนต์ต่อไป ตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 เห็นสายไฟฟ้าหรือสายเคเบิลอยู่ข้างหน้าตามปกติวิสัยบุคคลธรรมดา จำเลยที่ 1 จะต้องคิดว่าความสูงของของที่จำเลยที่ 1 บรรทุกมาน่าจะลอดพ้นได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 น่าจะค่อยๆเคลื่อนรถลอดใต้สายเคเบิลนั้น โดยให้คนในรถอีก 2 คนดูว่าจะพ้นได้หรือไม่ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ทำดังนั้นเพราะคิดว่าลอดพ้นได้ จึงเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ในประการแรกเป็นเหตุให้เกิดประมาทอื่นตามมาคือแทนที่จะค่อยเคลื่อนรถลอดดังกล่าวมาแล้ว จำเลยที่ 1 กลับใช้ความเร็วถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลอดผ่านสายเคเบิล ซึ่งความเร็วขนาดนี้เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายดังที่ปรากฏได้ หากจำเลยที่ 1 ค่อยๆ เคลื่อนมาประชิดสายเคเบิล แม้ว่าส่วนสูงของถังเหล็กจะถูกสายเคเบิลสายเคเบิลเป็นของหย่อนได้ย่อมจะอ่อนไปตามแรงของรถยนต์ได้บ้างเล็กน้อย ไม่ถึงกับดึงเสาไฟฟ้าให้หักล้มได้การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความประมาทเลินเล่อเป็นผลโดยตรงให้เกิดความเสียหาย ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ทราบดีจึงได้ยอมรับสารภาพ ให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับไป 1,000 บาท และจำเลยที่ 3 ก็ทราบข้อเท็จจริงดี จึงตกลงยินยอมจะชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่1 ที่ 2 ที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นชอบแล้ว ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 4 ว่าเป็นความประมาทของโจทก์ ไม่ใช่ของจำเลยที่1 เพราะสายเคเบิลและสายไฟฟ้าที่พาดผ่านถนนจะต้องสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร เหตุเกิดเพราะโจทก์ปล่อยให้สายไฟฟ้าสายเคเบิลต่ำกว่าระเบียบปฏิบัติทางราชการ เห็นว่า กรณีที่เกิดเหตุขึ้นเป็นเรื่องการวางสายเคเบิลโทรศัพท์ทอดข้ามถนนโดยแขวนติดกับเสาไฟฟ้าของโจทก์ การวางสายเคเบิลเป็นความรับผิดชอบขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ไม่ใช่ความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง โจทก์ และศาลได้พิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่11342/2525 ของศาลชั้นต้น ระหว่าง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยโจทก์และจำเลยทั้งสี่ในคดีนี้เป็นจำเลย คดีถึงที่สุดแล้วว่า เป็นความผิดของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ดังนั้น จำเลยที่ 4 ซึ่งรับประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย จำเลยที่ 4 ไม่อาจอ้างให้หลุดพ้นจากความรับผิดในการละเมิดครั้งนี้…’
พิพากษายืน.

Share