คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อของเชื่อเป็นคราวๆ ตามวันที่ผู้ขายส่งมอบของนั้นเมื่อผู้ซื้อผ่อนชำระเงินผู้ขายก็เลือกคืนบิลค่าของให้ทุกครั้งโดยกะจำนวนเงินที่ชำระแต่ละครั้งให้พอประมาณกับราคาของในบิลโดยผู้ซื้อหรือผู้ขายไม่เคยตกลงให้รวมยอดบัญชีหนี้สินอย่างบัญชีเดินสะพัด หรือ ให้รวมเป็นหนี้ก้อนเดียวกันอย่างไรไม่ ดังนี้ มิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ด้วยการใช้เงินให้บางส่วน หนี้รายใดเกิน 2 ปี เป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา165(1)
เมื่อผู้ล้มละลายเป็นเจ้าหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่จำต้องฟ้องศาลให้บังคับตามสิทธิของผู้ล้มละลาย แต่บังคับได้ด้วยตนเองตามวิธีการในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119 ฉะนั้น อายุความตามสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายจึงสดุดหยุดลงในวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังลูกหนี้ของผู้ล้มละลาย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 178
หนี้รายใดที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งให้ลูกหนี้ของผู้ล้มละลายชำระถ้าลูกหนี้มิได้คัดค้านตอบปฏิเสธภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ ถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายอยู่ตามจำนวนนั้นเป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119

ย่อยาว

เนื่องจากการชำระบัญชีของจำเลยผู้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยืนยันว่าผู้ร้องเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าของผู้ล้มละลายรวม 158,205.67 บาท ให้นำมาชำระ

ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลว่าได้ชำระหนี้หมดแล้ว และหนี้ขาดอายุความแล้ว ขอให้ศาลสั่งจำหน่ายหนี้ดังกล่าว

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่าผู้ร้องยังค้างชำระตามที่เรียกร้อง หนี้ไม่ขาดอายุความ เพราะผู้ร้องได้ผ่อนชำระหนี้บางส่วนและผู้ร้องมิได้คัดค้านหนี้ค่าแรงงานกับค่าซื้อสินค้าตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 เท่ากับยอมรับ จึงขอให้ศาลสั่งผู้ร้องชำระเงินดังกล่าว

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งยกคำร้องของผู้ร้องและให้ผู้ร้องชำระเงิน 158,205.67 บาท แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาคงฟังว่า ผู้ร้องเป็นหนี้ค่าซื้อของเชื่อจากผู้ล้มละลายรวม 526 คราว ตามบิลรับของและยังมิได้ชำระ แต่ข้อที่ผู้ร้องต่อสู้ว่าหนี้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) แล้วนั้น เห็นว่าสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายคดีนี้เกิดจากการสั่งซื้อของและส่งมอบของเป็นคราว ๆ ตามวันที่ส่งมอบของนั้น และผู้ล้มละลายหรือผู้ร้องก็ดี ไม่เคยตกลงให้รวมยอดบัญชีหนี้สินอย่างบัญชีเดินสะพัดหรือให้รวมเป็นหนี้ก้อนเดียวอย่างไรไม่ เวลาผู้ร้องชำระหนี้ ผู้ล้มละลายออกใบรับเงินให้และเลือกคืนบิลค่าของให้ทุกครั้ง โดยกะเงินที่ชำระแต่ละครั้งพอประมาณกับราคาของในบิล พฤติการณ์เช่นนี้มิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ด้วยการใช้เงินให้บางส่วน และตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่จำต้องฟ้องศาลให้บังคับตามสิทธิของผู้ล้มละลาย แต่บังคับได้ด้วยตนเองและลูกหนี้ของผู้ล้มละลายย่อมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ในที่สุดฉะนั้น อายุความตามสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายย่อมสะดุดหยุดลงในวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังผู้ร้องตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 178 คือ วันที่ 19 มกราคม 2500

เมื่อนับถอยหลังจากวันทวงถามไป 2 ปี คือวันที่ 19 มกราคม 2498 ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นหนี้ผู้ล้มละลายอยู่ 45,076.76 บาท ตามบิลรับของรวม 142 ฉบับ บิลรับของก่อนนั้นขึ้นไปเป็นอันขาดอายุความ แต่ผู้ร้องต้องรับผิดค่าแรงงานที่ผู้ล้มละลายออกทดรองไปอีก 7,012.50 บาท ซึ่งไม่ขาดอายุความและมีหนี้ค่าซื้อสินค้าอีกจำนวนหนึ่ง 4,057 บาท ซึ่งผู้ร้องมิได้คัดค้านตอบปฏิเสธภายใน 14 วัน ต้องถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้อยู่เป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119

จึงพิพากษาแก้ ให้ผู้ร้องชำระเงินแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวม 56,146.26 บาท

Share