แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยทั้งสองกับพวกอีกสองคนร่วมดื่มสุราอยู่ในที่เกิดเหตุ เมื่อจำเลยที่ 2 ใช้ปืนจี้และขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง จำเลยที่ 1 กับพวกต่างก็ใช้มีดจี้ผู้เสียหายทันที แสดงว่าจำเลยที่ 1 กับพวกพร้อมที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้ผู้เสียหายต่อสู้ขัดขวาง ครั้นจำเลยที่ 2 ผลักผู้เสียหายล้มลงและเอาเท้าเหยียบคอผู้เสียหายไว้ จำเลยที่ 1 ก็แทงผู้เสียหายในเวลาติดต่อกันไป และหลังจากปล้นได้ทรัพย์แล้วก็หลบหนีไปพร้อมกันนั้น เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกระทำผิดโดยตลอดจำเลยที่ 2 ย่อมต้องรับผิดในการที่จำเลยที่ 1 แทงผู้เสียหายด้วย แต่มีดที่จำเลยที่ 1 ใช้แทงผู้เสียหายนั้น ยาวประมาณ 4-5 นิ้ว กว้างประมาณ 1 นิ้ว จำเลยที่ 1 แทงเพียงทีเดียวแล้วหยุดเลิกไปเอง ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะแทงซ้ำ และได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลว่าบาดแผลรักษาหายภายใน 7 วัน จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 แทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า แต่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ซึ่งเป็นการกระทำความผิดในวาระเดียวกัน อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่ใช่ความผิดหลายกรรม แม้จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองได้
ในการปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนนั้น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 ตรี ลงโทษหนักขึ้นเฉพาะตัวผู้มีหรือใช้อาวุธปืนเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ที่ร่วมปล้นและมีอาวุธมีดติดตัวเท่านั้น จึงไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีกสองคนร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาติดตัวไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกรวมสี่คนดังกล่าวได้ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและมีดและจำเลยที่ ๑ ได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๒๘๙, ๘๐, ๘๓, ๓๓, ๙๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๓, ๖, ๗ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒, ๑๔, ๑๕ ริบมีดของกลาง ส่วนของกลางอื่นคืนให้ผู้เสียหายและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนอีก ๗๒ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง จำคุกคนละ ๑ ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ จำคุกคนละ ๖ เดือนฐานปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนจำคุกคนละ ๓๐ ปี และลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ๕๐ ปี รวมจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๘๑ ปี ๖ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๓๑ ปี ๖ เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๕๔ ปี ๔ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๒๑ ปี อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ คงให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๕๐ ปี ริบมีดของกลาง ของกลางอื่นคืนผู้เสียหาย และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน ๗๒ บาท แก่ผู้เสียหาย
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานทำร้ายร่างกายจำคุก ๒ ปี และฐานปล้นทรัพย์ จำคุก ๑๖ ปี รวมจำคุก ๑๘ ปีกับลงโทษจำเลยที่ ๖ ฐานปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนจำคุก ๒๔ ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง จำคุก ๑ ปี และฐานพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะจำคุก ๖ เดือน รวมจำคุก ๒๕ ปี ๖ เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๑๒ ปี และจำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๑๗ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยกับพวกอีก ๒ คน ได้ร่วมดื่มสุราอยู่ด้วยกันที่เกิดเหตุ เมื่อจำเลยที่ ๒ ถืออาวุธปืนจี้และขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง จำเลยที่ ๑ กับพวก ต่างใช้อาวุธมีดจี้ผู้เสียหายทันที แสดงว่า จำเลยที่ ๑ กับพวกพร้อมที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ ๒ เพื่อมิให้ผู้เสียหายต่อสู้ขัดขวาง ครั้นจำเลยที่ ๒ ผลักผู้เสียหายล้มลงและเอาเท้าเหยียบคอของผู้เสียหายไว้ จำเลยที่ ๑ ก็แทงผู้เสียหายในเวลาติดต่อกันไป หลังจากปล้นได้ทรัพย์แล้วก็หลบหนีไปพร้อมกัน นั้น เป็นพฤติการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันกระทำผิดโดยตลอด ดังนั้น จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดในการที่จำเลยที่ ๑ ใช้มีดแทงผู้เสียหายด้วย สำหรับบาดแผลของผู้เสียหายนั้น ได้ความจากแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลของผู้เสียหายว่า บาดแผลรักษาหายภายใน ๗ วัน สำหรับมีดที่จำเลยที่ ๑ ใช้แทงผู้เสียหายคงได้ความจากบิดาผู้เสียหายว่า ตัวมีดยาวประมาณ ๔-๕ นิ้วกว้างประมาณ ๑ นิ้ว เห็นว่า จำเลยที่ ๑ แทงเพียงทีเดียว แล้วหยุดยั้งเลิกไปเองทั้ง ๆ ที่มีโอกาสจะแทงซ้ำ แสดงว่าจำเลยที่ ๑ แทงผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการปล้นทรัพย์เท่านั้น และบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรของแพทย์ท้ายฟ้อง ก็ไม่ถึงเป็นอันตรายสาหัส จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ แทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า และจำเลยที่ ๑ ใช้มีดแทงผู้เสียหายก็เพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์อันเป็นการกระทำความผิดในวาระเดียวกันจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรคสอง ซึ่งแก้ไขแล้ว และฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๖ ซึ่งเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่ใช่ความผิดหลายกรรมแม้จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองได้ และไม่เพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ ตรี เพราะความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนตามมาตรา ๓๔๐ ตรี ลงโทษหนักขึ้นเฉพาะตัวผู้มีหรือใช้อาวุธปืน จำเลยที่ ๑ เป็นเพียงผู้ที่ร่วมปล้นและมีอาวุธมีดติดตัวเท่านั้น จึงไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานทำร้ายร่างกายและความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่จำเลยที่ ๑ กระทำ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานปล้นทรัพย์ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก ๑๖ ปี จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๑๐ ปี ๘ เดือน จำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย แต่ความผิดฐานนี้เป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน ให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.