คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3108/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีภาระการพิสูจน์ว่าถูกจำเลยที่ 1 ฉ้อฉลให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แต่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง โจทก์ย่อมต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนชำระหนี้จำนองที่ดิน… จนกว่าจำเลยทั้งสองจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยที่ ๑ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน จำเลยที่ ๑ ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินเป็นเงิน ๒๐,๙๖๒.๕๐ บาท แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๒๗ โจทก์จำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๑๓๖,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๒๘ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินพิพาทที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี ซึ่งปรากฏหลักฐานทางทะเบียนว่าโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ เป็นการชำระหนี้จำนอง คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ ดังกล่าว เนื่องจากถูกจำเลยที่ ๑ ฉ้อฉลว่าเป็นการเพิ่มวงเงินจำนองหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้โจทก์ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ให้ฟังได้ตามข้ออ้างคงมีเพียงตนเองเบิกความเอาลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานใดสนับสนุน นายสมพงษ์ ภู่พัฒน์พิบูลย์ เจ้าพนักงานที่ดินผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมรายนี้มาเบิกความเป็นพยานจำเลยที่ ๑ ว่า คู่กรณีผู้ทำนิติกรรมต้องให้เจ้าหน้าที่สอบสวนถ้อยคำแล้วให้คู่กรณีลงชื่อในบันทึกถ้อยคำต่อหน้าเจ้าหน้าที่สอบสวนและเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียน แสดงว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ต้องลงชื่อในเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมต่อหน้าทั้งเจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนและเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียน จึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะลงชื่อในเอกสารต่าง ๆ ไปโดยไม่ทราบข้อความและไม่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนตลอดจนเจ้าพนักงานที่ดินดังที่โจทก์กล่าวอ้าง นายสมพงษ์นี้นอกจากจะเป็นเจ้าพนักงานแล้วยังไม่ปรากฏว่ามีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด ตามทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่มีข้อควรระแวงสงสัยว่านายสมพงษ์จะสมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย เชื่อได้ว่านายสมพงษ์เบิกความไปตามความจริง ที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าหลังจากทำนิติกรรมรายนี้แล้ว โจทก์ยังเอาข้าวโพดไปขายให้จำเลยที่ ๑ และถูกจำเลยที่ ๑ หักดอกเบี้ยนั้น มีแต่ตัวโจทก์เบิกความในเรื่องนี้เพียงปากเดียว พยานโจทก์ปากอื่นก็ไม่มีผู้ใดเบิกความถึง เมื่อจำเลยที่ ๑ เบิกความโจทก์ก็มิได้ถามค้านให้จำเลยที่ ๑ ยอมรับ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ คดีนี้โจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและไม่มีน้ำหนักในการรับฟังดังกล่าวมาแล้ว โจทก์ย่อมต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี สำหรับเหตุผลอื่น ๆ ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้วซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยและไม่จำต้องกล่าวซ้ำอีก และฎีกาข้ออื่น ๆ ของโจทก์ก็ไม่มีน้ำหนักพอให้เปลี่ยนแปลงผลคดีได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share