แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 850,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ซึ่งมีผลทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือโจทก์ยอมลดเงินต้นเหลือ 780,000 บาท จำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวแก่โจทก์และชำระเงินต้นคืนเป็นการตอบแทน แต่ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้โจทก์บังคับเอาเงินต้นจากจำเลยเป็นเงิน 850,000 บาท จึงเห็นได้ว่ากรณีผิดนัด จำเลยจะต้องถูกบังคับให้ชำระหนี้เพิ่มจากเงินต้นตามสัญญาอีก 70,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็คือเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 นั่นเอง ตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดนัด นอกจากโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วย จำเลยจึงยังต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยจากต้นเงิน 780,000 บาท ตามสัญญาต่อไปอีก จนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ศาล และศาลแพ่งได้พิพากษาตามยอมแล้ว โดยสัญญาว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์ ๗๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นให้โจทก์ จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และยอมให้โจทก์บังคับเอาต้นเงินจากจำเลยเป็นเงิน ๘๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยปฏิบัติผิดสัญญายอม จึงเกิดโต้เถียงกันว่า จำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่ามีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระหนี้ต้นเงิน ๘๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ส่วนจำเลยอ้างว่าโจทก์คงมีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญายอม คือ ต้นเงิน ๘๕๐,๐๐๐ บาทโดยไม่มีดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน ๘๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีเรื่อยไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายดอกเบี้ยในต้นเงิน ๗๘๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน ๘๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จึงมีผลทำให้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒ โดยโจทก์จำเลยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน คือโจทก์ยอมลดเงินต้นตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ๘๕๐,๐๐๐ บาท ลงมา ๗๐,๐๐๐ บาทคงเหลือ ๗๘๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยยินยอมชำระดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าว และชำระเงินต้นคืนเป็นการตอบแทน แต่ถ้าจำเลยผิดนัดให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้โจทก์บังคับเอาต้นเงินเป็นเงิน ๘๕๐,๐๐๐ บาท จึงเห็นได้ว่า เมื่อจำเลยผิดนัด จำเลยจะถูกบังคับให้ชำระหนี้เพิ่มจากเงินต้นตามสัญญาอีก ๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็คือเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๑ ต้นเงินตามสัญญา จึงประกอบด้วยเงินต้น ๗๘๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญา รวมกับเบี้ยปรับอีก ๗๐,๐๐๐ บาท มีปัญหาว่าเมื่อผิดนัดต้องชำระเบี้ยปรับแล้ จำเลยยังจะต้องชำระดอกเบี้ยต่อไปอีกหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๑ เห็นได้ว่า เมื่อจำเลยผิดนัด นอกจากโจทก์จะเรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้อีกด้วย ดังนั้นแม้จะบังคับเอาเบี้ยปรับแล้วโจทก์ยังมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญาและเงินต้น ๗๘๐,๐๐๐ บาท
พิพากษายืน