แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามฟ้องของโจทก์ตั้งประเด็นให้จำเลยรับผิดใช้เงินในฐานะเป็นลูกจ้างและตัวแทนของโจทก์  ซึ่งมีผลเท่ากับกล่าวว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน  โดยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ตกลงจ้าง  ทำให้เงินของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างขาดหายไปหรือจำเลยผิดสัญญาตัวแทน  โดยทำให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวการเสียหาย  แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องไม่ชัดเจนว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือผิดสัญญาตัวแทน  แต่เมื่อโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงมาให้เป็นที่เข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรแล้ว  ก็ตกเป็นหน้าที่ของศาลที่จะนำตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีได้  โจทก์หาได้ตั้งประเด็นฟ้องจำเลยว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์  ฟ้องของโจทก์จึงไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด
ระเบียบการปฏิบัติงานของโจทก์กำหนดหน้าที่ของผู้จัดการโรงพิมพ์ข้อ 3  มีว่า  “ผู้จัดการเป็นผู้อำนวยการและรับผิดชอบในกิจการทั่วไป”  นอกจากนี้ก็ได้วางระเบียบแบ่งงานไว้เป็นหมวดต่าง ๆ มีหมวดกลาง  หมวดคลัง  และหมวดโรงงาน  ซึ่งทุกหมวดจะต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาและควบคุมดูแลของผู้จัดการทั้งสิ้น  โดยได้บัญญัติไว้ในระเบียบข้อ 45 ว่า  “ให้ผู้จัดการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้  และให้มีอำนาจออกคำสั่งกำหนดวิธีปฏิบัติงานในโรงพิมพ์การศาสนาเป็นการภายในได้โดยไม่ขัดแย้งต่อระเบียบนี้”  ในเรื่องระเบียบเกี่ยวแก่การเงินได้บัญญัติไว้ในระเบียบข้อ 18 ว่า  “เงินรายได้ของโรงพิมพ์เมื่อได้รับเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป  ให้นำส่งกองศาสนสมบัติ  กรมการศาสนา”  และได้บัญญัติวิธีรักษาเงินไว้ในข้อ 21 ว่า  “เงินของโรงพิมพ์การศาสนาให้เก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยโดยมีผู้จัดการหรือผู้ทำการแทนผู้จัดการ  หัวหน้าหมวดคลัง  และหัวหน้าหมวดโรงงานเป็นคณะกรรมการรักษากุญแจตู้นิรภัยร่วมกัน  เมื่องบบัญชีเงินสดประจำวันให้มีการตรวจนับตัวเงิน  เมื่อตรวจนับถูกต้องตามบัญชีเงินสดแล้ว  ให้นำเก็บไว้ในตู้นิรภัย  แล้วตีตราประตูห้องเก็บตู้นิรภัยไว้ด้วย  ฯลฯ”  ดังนี้ จะเห็นได้ว่าโจทก์ได้กำหนดหน้าที่ของผู้จัดการไว้ให้มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลเกี่ยวกับการเงินของโจทก์โดยใกล้ชิดด้วย  เช่น  ต้องมีการตรวจบัญชีเงินสด  และนับตัวเงินสดทุกวัน  เป็นต้น  ดังนั้น  การที่ พ. สมุหบัญชีรับเงินเป็นตัวเงินสดไว้ถึง 124,552 บาทแล้วไม่นำส่งโจทก์ได้นั้น  ย่อมแสดงว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่โจทก์จ้าง  กล่าวคือไม่ควบคุมตรวจบัญชีเงินสด  เป็นการกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน  โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามจำนวนเงินของโจทก์ที่ขาดหายไปได้
กรณีที่โจทก์ฟ้องเป็นเรื่องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้  ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 215  ซึ่งเป็นบทบัญญัติของลักษณะหนี้  หาใช่เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์ได้จ้างจำเลยที่ ๑  เป็นผู้จัดการโรงพิมพ์และจ้างนายพาเป็นสมุหบัญชีแผนกโรงพิมพ์  มีหน้าที่รับเงิน  จ่ายเงิน  เก็บรักษาเงิน  และนำเงินส่งโจทก์ภายใต้ภารควบคุมของจำเลยที่ ๑  ครั้นเมื่อปลาย พ.ศ. ๒๕๐๒  ได้มีการตรวจสอบบัญชีเงินของโรงพิมพ์  ปรากฏว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๗  ถึง พ.ศ. ๒๕๐๒  ได้มีผู้ว่าจ้างโรงพิมพ์ ๖ ราย  ได้ชำระค่าจ้างรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๒๔,๕๕๒ บาท  แก่นายพาและจำเลยที่ ๑  จำเลยที่ ๑ และนายพาได้ร่วมกันรับไว้แล้วไม่นำส่งโจทก์  ทำให้เงินขาดบัญชี  ซึ่งตามกฎหมายบุคคลทั้งสองในฐานะเป็นลูกจ้างและตัวแทนโจทก์จะต้องส่งมอบเงินนี้แก่โจทก์  แต่ขณะนี้นายพาได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว  จำเลยที่ ๒  ซึ่งเป็นภรรยาและรับมรดกนายพาจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑  ใช้เงินให้โจทก์  จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑  ให้การปฏิเสธความรับผิดว่า  จำเลยที่ ๑  ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในทางการเงิน  จำเลยที่ ๑  ไม่ได้ร่วมรับเงินกับนายพาดังโจทก์กล่าวหา  ความจริงเงินตามจำนวนที่โจทก์ฟ้อง  นายพาเป็นผู้รับไว้และได้ยักยอกเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย  จำเลยที่ ๑  ให้การตัดฟ้องของโจทก์ว่า  คดีนี้เป็นกรณีเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด  ไม่ใช่กรณีเรียกร้องให้ตัวแทนรับผิดเพราะความเสียหายเกิดขึ้นแก่ตัวการอันเนื่องจากความประมาทเลินเล่อของตัวแทน  โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๑ เมื่อพ้น ๑ ปีนับแต่โจทก์ทราบถึงการกระทำละเมิด  คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในคดีนี้ร่วมกันใช้เงิน ๑๒๔,๕๕๒ บาทให้แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย
นายทรงวุฒิจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามฟ้องของโจทก์ได้ตั้งประเด็นให้นายทรงวุฒิจำเลยรับผิดใช้เงินจำนวนนี้ในฐานะเป็นลูกจ้างและตัวแทนของโจทก์  ซึ่งมีผลเท่ากับกล่าวหาว่านายทรงวุฒิจำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน  โดยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ตกลงจ้าง  ทำให้เงินของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างขาดหายไป  หรือนายทรงวุฒิจำเลยผิดสัญญาตัวแทน  โดยทำให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวการเสียหาย  แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องไม่ชัดเจนว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือผิดสัญญาตัวแทน  แต่เมื่อโจทก์ก็บรรยายข้อเท็จจริงมาให้เป็นที่เข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรแล้ว  ก็ตกเป็นหน้าที่ของศาลที่จะนำตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีได้  คดีนี้  โจทก์หาได้ตั้งประเด็นฟ้องนายทรงวุฒิจำเลยว่ากระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่  ดังนั้น  ข้อที่นายทรงวุฒิจำเลยฎีกาขึ้นมาว่าฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิด  คดีของโจทก์ขาดอายุความ ๑ ปีแล้ว  จึงตกไป
ปัญหาอันดับต่อไปจึงมีว่า  นายทรงวุฒิจำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่  ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า  นายทรงวุฒิจำเลยก็ยอมรับอยู่ว่าโจทก์ได้จ้างนายทรงวุฒิจำเลยเป็นผู้จัดการโรงพิมพ์ของโจทก์  ทำหน้าที่ดำเนินกิจการแผนกโรงพิมพ์และบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่คนงานแผนกนี้ตามระเบียบข้อบังคับของกรมการศาสนา  หากแต่เถียงว่านายทรงวุฒิจำเลยไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในทางการเงิน  เพราะโจทก์ได้จ้างนายพาเป็นสมุหบัญชีทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงินอยู่แล้ว  ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ระเบียบกรมการศาสนาว่าด้วยการปฏิบัติงานของโรงพิมพ์การศาสนา  พ.ศ. ๒๕๑๐  เห็นว่าระเบียบการปฏิบัติงานข้อ ๓ มีว่า  “ผู้จัดการเป็นผู้อำนวยการและรับผิดชอบในกิจการทั่วไป”  นอกจากนี้ก็ได้วางระเบียบแบ่งงานไว้เป็นหมวดต่าง ๆ มีหมวดกลาง  หมวดคลัง  และหมวดโรงงาน  ซึ่งทุกหมวดจะต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่บังคับบัญชีและควบคุมดูแลของผู้จัดการทั้งสิ้น  โดยได้บัญญัติไว้ในระเบียบข้อ ๔๕ ว่า  “ให้ผู้จัดการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้  และให้มีอำนาจออกคำสั่งกำหนดวิธีปฏิบัติงานในโรงพิมพ์การศาสนา  เป็นการภายในได้โดยไม่ขัดแย้งต่อระเบียบนี้  “ในเรื่องระเบียบเกี่ยวแก่การเงินก็ได้บัญญัติไว้ในระเบียบข้อ ๑๘ ว่า  “เงินรายได้ของโรงพิมพ์  เมื่อได้รับไว้เกินกว่า ๒,๐๐๐ บาทขึ้นไป  ให้นำส่งกองศาสนาสมบัติ  กรมการศาสนา”  และได้บัญญัติวิธีรักษาเงินไว้ในข้อ ๒๑ ว่า  “เงินของโรงพิมพ์การศาสนาให้เก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัย  โดยมีผู้จัดการหรือผู้ทำการแทนผู้จัดการ  หัวหน้าหมวดคลัง  และหัวหน้าหมวดโรงงานเป็นคณะกรรมการรักษากุญแจตู้นิรภัยร่วมกัน  เมื่องบบัญชีเงินสดประจำวัน  ให้มีการตรวจนับตัวเงิน  เมื่อตรวจนับถูกต้องตามบัญชีเงินสดแล้ว  ให้นำเก็บไว้ในตู้นิรภัย  แล้วตีตราประตูห้องเก็บตู้นิรภัยไว้ด้วย ฯลฯ”  ดังนี้  จะเห็นได้ว่าโจทก์ได้กำหนดหน้าที่ของผู้จัดการไว้ให้มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลเกี่ยวกับการเงินของโจทก์โดยใกล้ชิดด้วย  เช่น  ต้องมีการตรวจบัญชีเงินสดและนับตัวเงินสดทุกวัน  เป็นต้น  ดังนั้น  การที่นายพารับเงินเป็นตัวเงินสดไว้ถึง ๑๒๔,๕๕๒ บาทแล้วไม่นำส่งโจทก์ได้นั้น  ย่อมแสดงว่านายทรงวุฒิจำเลยละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่โจทก์จ้าง  กล่าวคือ  ไม่ควบคุมตรวจบัญชีเงินสด  นับตัวเงินสดและนำเงินส่งโจทก์เมื่อรับเงินไว้เกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท  เป็นการกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์จึงย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามจำนวนเงินของโจทก์ที่ขาดหายไปได้
กรณีที่โจทก์ฟ้องนี้เป็นเรื่องฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้  ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๕  ซึ่งเป็นบทบัญญัติของลักษณะหนี้  หาใช่เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ไม่
พิพากษายืน

