แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เสียหายเพียงใด โดยโจทก์มีภาระการพิสูจน์ การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดนั้น ต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความซึ่งเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อโจทก์แถลงขอสืบ ส. ทนายโจทก์เป็นพยานปากแรก โดยโจทก์ยืนยันว่า ส. รู้เห็นการประกอบอาชีพของโจทก์ เมื่อยังไม่ได้ฟังคำพยานย่อมไม่อาจทราบได้ว่า ส. เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงหรือไม่ และพยานหลักฐานของโจทก์ที่จะนำสืบในประเด็นข้อนี้มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด ประกอบกับโจทก์ไม่มีพฤติการณ์ประวิงคดี การที่ศาลชั้นต้นด่วนสรุปว่า ส. ไม่รู้เห็นข้อเท็จจริงในเรื่องการประกอบอาชีพของโจทก์โดยตรงจึงให้งดสืบพยานโจทก์ปากดังกล่าว คงมีโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียว แล้วพิพากษาคดีไปโดยยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2)
แม้โจทก์มีคำขอท้ายอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้บังคับจำเลยชำระเงินตามฟ้อง แต่การที่ศาลอุทธรณ์จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งมีอยู่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 5,622,970 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ในวันสืบพยานโจทก์วันที่ 2 พฤษภาคม 2546 โจทก์แถลงขอสืบนายสุวัฒน์ทนายโจทก์เป็นพยานปากแรกในข้อเท็จจริงที่ว่าพยานปากนี้รู้เห็นการประกอบอาชีพของโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ที่จะทราบการประกอบอาชีพของโจทก์ดีที่สุดคือตัวโจทก์และครอบครัว พยานโจทก์ปากนี้ไม่ได้รู้เห็นข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยตรงและไม่ใช่พยานที่ดีที่สุดที่จะนำสืบในประเด็นข้อนี้ เป็นพยานฟุ่มเฟือย จึงงดสืบพยานโจทก์ปากนายสุวัฒน์ โจทก์อ้างตนเองเข้าเบิกความแล้วแถลงหมดพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 364,709 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และคำพิพากษาศาลชั้นต้น แล้วย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ในประเด็นเรื่องค่าเสียหายในอนาคตที่โจทก์ไม่สามารถประกอบการงานได้แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาให้เป็นพับ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนนี้ให้โจทก์ไปทั้งหมด
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า มีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ปากนายสุวัฒน์แล้วพิพากษาใหม่หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเป็นประเด็นข้อ 3 ว่า โจทก์เสียหายเพียงใด โดยโจทก์มีภาระการพิสูจน์ในประเด็นข้อนี้ การที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดนั้น ต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความซึ่งเสร็จสิ้นแล้ว แม้โจทก์จะเป็นพยานชั้นหนึ่ง แต่โจทก์ก็มีสิทธิที่จะนำสืบพยานปากอื่นเพื่อสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ได้ด้วย คดีนี้โจทก์แถลงขอสืบนายสุวัฒน์ทนายโจทก์เป็นพยานปากแรก โดยโจทก์ยืนยันว่า นายสุวัฒน์รู้เห็นการประกอบอาชีพของโจทก์ เมื่อยังไม่ได้ฟังคำพยานย่อมไม่อาจทราบได้ว่านายสุวัฒน์เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงหรือไม่ และพยานหลักฐานของโจทก์ที่จะนำสืบในประเด็นข้อนี้มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด ประกอบกับโจทก์ไม่มีพฤติการณ์ประวิงคดี การที่ศาลชั้นต้นด่วนสรุปว่านายสุวัฒน์ไม่รู้เห็นข้อเท็จจริงในเรื่องการประกอบอาชีพของโจทก์โดยตรงจึงให้งดสืบพยานโจทก์ปากดังกล่าว แล้วพิพากษาคดีไปโดยยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2) ที่จำเลยทั้งสองฎีกาประการต่อมาว่า โจทก์มีคำขอท้ายอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาย้อนสำนวนจึงเกินไปกว่าคำฟ้องอุทธรณ์นั้น เห็นว่า อำนาจของศาลอุทธรณ์ในอันที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.