คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์หรือรับของโจรเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหายแต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์และรูปคดีมีความสงสัยตามสมควรว่าธนบัตรเงินตราต่างประเทศที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดจากจำเลยที่ 1 เป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปหรือไม่จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดฐานรับของโจร ส่วนทรัพย์ของกลางตามฟ้องที่เจ้าพนักงานตำรวจยึด มาจากจำเลยที่ 2 เมื่อไม่มีเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปรวมอยู่ด้วย ทรัพย์ของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แม้โจทก์จะฎีกาว่า ของกลางเหล่านั้นอันได้แก่ สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 เส้นพร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำจำนวน 1 องค์ เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้รับจากส่วนแบ่งปล้นทรัพย์รายนี้ไปซื้อมา ส่วนธนบัตรสกุลเงินบาทก็เป็นเงินส่วนแบ่งที่จำเลยที่ 2 ได้รับมาและยังคงเหลืออยู่ก็ตามแต่ของกลางดังกล่าวเมื่อมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จึงไม่มีทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร จำเลยที่ 2ย่อมไม่มีความผิดฐานรับของโจรเช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกที่หลบหนีอีก 3 คน ร่วมกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อวันที่7 มิถุนายน 2536 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนสั้นขนาด 7.35 มม. และขนาด 9 มม. จำนวนอย่างละ 1 กระบอกไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ กับกระสุนปืนขนาด 7.35 มม. และขนาด 9 มม. ไม่ทราบจำนวน อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย จำเลยที่ 1พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในซอยเจริญกรุง 45ถนนเจริญกรุง อันเป็นเมืองและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ เมื่อวันที่7 มิถุนายน 2536 เวลากลางวัน มีคนร้าย 6 คน โดยมีอาวุธปืนสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับจำนวน 2 กระบอกติดตัวไปปล้นเอาเงินตราต่างประเทศสกุลต่าง ๆ รวมคิดเป็นเงินไทยจำนวน 20,649,261.99 บาทของนายมนต์ชัย วีรเสถียรพรกุล ผู้เสียหายไปโดยทุจริตในการปล้นทรัพย์คนร้ายใช้อาวุธปืนสั้นจำนวน 2 กระบอกขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะยิงนางสุภา เลียวบุรินทร์นายอนุวัฒน์ สินเอนกนิยม และนายจ๊อบ โอซี่ พวกของผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้และให้พ้นจากการจับกุม โดยคนร้ายใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน3 อ-2084 กรุงเทพมหานคร รถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 6 พ-0223 และรถจักรยานยนต์ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนเป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดปล้นทรัพย์ พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2536 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 อ-2084 กรุงเทพมหานครซึ่งจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันใช้กระทำความผิด และยึดได้เงินตราต่างประเทศสกุลเงินดอลลาร์ ของประเทศสหรัฐอเมริกาฉบับละ 100 ดอลาร์ จำนวน 1,500 ฉบับ สกุลเงินหยวนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนฉบับละ 100 หยวน จำนวน 2,400 ฉบับ ฉบับละ 50 หยวน จำนวน 2,000 ฉบับ คิดเป็นเงินไทยรวม 4,430,000 บาท อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายเป็นของกลาง วันที่ 19 มิถุนายน 2536 เวลากลางคืนหลังเที่ยงเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้พร้อมรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 6 พ-0223 กุญแจรถจักรยานยนต์ของผู้มีชื่อหมวกนิรภัย 1 ใบ สร้อยคอทองคำหนัก1 บาท พร้อมพระเลี่ยมทองคำหนัก 1 สลึง ของจำเลยที่ 2กับเงินไทยจำนวน 9,000 บาท อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายวันที่ 22 มิถุนายน 2536 เวลากลางวันเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 3 ได้พร้อมเงินตราต่างประเทศสกุลต่าง ๆคิดเป็นเงินไทยจำนวน 983,970.10 บาท อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหาย และวันที่ 23 มิถุนายน 2536เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้กระเป๋าสีดำเป็นของกลาง ทั้งนี้ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสามกับพวกอีก3 คน ยังจับตัวไม่ได้ร่วมกันปล้นทรัพย์เอาเงินตามต่างประเทศสกุลต่าง ๆ คิดเป็นเงินไทยจำนวน 20,649,261.99 บาทของผู้เสียหาย โดยมีและใช้อาวุธปืน และใช้รถยนต์กับรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการปล้นทรัพย์ดังกล่าวมาข้างต้นหรือมิฉะนั้นตามวันเวลาเกิดเหตุปล้นทรัพย์ถึงวันจับจำเลยทั้งสามได้ จำเลยทั้งสามร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยจำหน่ายช่วยพาเอาไปเสียหรือรับเอาเงินตราต่างประเทศสกุลเงินดอลลาร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา และสกุลเงินหยวนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนคิดเป็นเงินไทย จำนวน 4,430,000 บาท เงินไทยจำนวน 9,000 บาท และเงินตราต่างประเทศสกุลต่าง ๆ คิดเป็นเงินไทยจำนวน 983,970.10 บาทซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายไว้ โดยจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ทรัพย์ของกลางผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 357 วรรคสอง,371, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงินคิดเป็นเงินไทยจำนวน 15,235,291.99 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ 3 หลบหนีไป ศาลชั้นต้นให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ชั่วคราว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง, 83 ให้จำคุกคนละ10 ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง และให้ยกคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2ในความผิดบานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสองด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่7 มิถุนายน 2536 เวลากลางวัน มีชายคนร้าย 2 คน ใช้อาวุธปืนสั้นคนละ 1 กระบอก ขู่เข็ญนางสุภา เลียวบุรินทร์ นายจ๊อบ โอซี่และนายอนุวัฒน์ สินเอนกนิยม แล้วเอากระเป๋าสีดำมีตราสุรายี่ห้อจอห์นนี่วอล์กเกอร์ และกระเป๋าสะพายสีเขียวอย่างละ1 ใบ ซึ่งบรรจุเงินตราต่างประเทศสกุลต่าง ๆ กับเช็คคิดเป็นเงินไทย 20,649,261.99 บาท ของนายมนต์ชัย วีระเสถียรพรกุลผู้เสียหายซึ่งอยู่ในความครอบครองของนางสุภาและนายจ๊อบไป จากนั้นคนร้ายทั้งสองวิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่พวกคนร้ายจอดรออยู่คนละคันหลบหนี ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาดำเนินคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจยึดธนบัตรสกุลเงินดอลลาร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาฉบับละ100 ดอลลาร์ จำนวน 1,500 ฉบับ ธนบัตรสกุลเงินหยวนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนฉบับละ 100 หยวน และ 50 หยวนจำนวน 2,400 ฉบับ และ 2,000 ฉบับ ตามลำดับจากจำเลยที่ 1เป็นของกลางธนบัตรจำนวน 3 รายการดังกล่าวคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,430,000 บาท และยึดรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 6 พ-0223 พร้อมกุญแจจำนวน 1 ดอกหมวดนิรภัยจำนวน 1 ใบ สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน1 เส้น พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำจำนวน 1 องค์ และธนบัตรสกุลเงินบาทจำนวน 9,000 บาท จากจำเลยที่ 2 เป็นของกลางพนักงานสอบสวนได้คืนธนบัตรต่าง ๆ ดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 มีความผิดฐานรับของโจรเกี่ยวกับทรัพย์ของกลางที่ยึดมาจากความครอบครองของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า คดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้น รูปคดีมีความสงสัยตามสมควรว่าธนบัตรสกุลเงินดอลลาร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาฉบับละ 100 ดอลลาร์ จำนวน 1,500 ฉบับ ธนบัตรสกุลเงินหยวนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนฉบับละ 100 หยวนและ 50 หยวน จำนวน 2,400 ฉบับ และ 2,000 ฉบับตามลำดับที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดจากจำเลยที่ 1 ไว้เป็นของกลางเป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร
คดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า ทรัพย์ของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาจากจำเลยที่ 2 ไม่มีเงินตราต่างประเทศของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปด้วยเลย จึงมิใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร แม้โจทก์จะฎีกาว่า สร้อยคอ ทองคำหนัก1 บาท จำนวน 1 เส้น พร้อมพระเครื่องเลี่ยมทองคำจำนวน1 องค์ ของกลาง เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้รับจากส่วนแบ่งปล้นทรัพย์รายนี้ไปซื้อมาและธนบัตรสกุลเงินบาทจำนวน 9,000 บาทของกลางเป็นเงินส่วนแบ่งที่เหลืออยู่ก็ตาม ของกลางดังกล่าวก็หาใช่ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์จึงไม่มีทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรเช่นกัน คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานรับของโจร
พิพากษายืน

Share