แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คำเบิกความของจำเลยที่อ้างตนเองเป็นพยาน เป็นเพียงเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานโจทก์ มิได้ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีในศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็ค
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามชอบหรือไม่พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยได้อ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน200,000 บาท โดยออกเช็คไม่ได้ลงวันสั่งจ่ายมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้โอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบ้านไผ่ เป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนเช็คพิพาทกลับกรอกวันสั่งจ่ายแล้วนำไปเรียกเก็บเงิน ซึ่งคำเบิกความดังกล่าว เป็นเพียงเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสอง มิได้ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีในศาลชั้นต้น การที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าโจทก์กรอกวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตซึ่งไม่ได้รับความยินยอมจากผู้สั่งจ่ายและในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คพิพาท ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้ลงวันออกเช็ค จึงไม่มีวันกระทำผิดพิพากษายกฟ้องจะต้องถือข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 เช็คพิพาทจึงไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะจำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิด จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน