แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1468 เดิมก่อนแก้ไขให้อำนาจสามีเป็นผู้จัดการสินบริคณห์ได้แต่ผู้เดียวเว้นแต่ในสัญญาก่อนสมรสจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้น การที่จำเลยจำนองที่ดินสินสมรสกับโจทก์ขณะที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1468 เดิมมีผลใช้บังคับอยู่จึงมีผลผูกพันที่ดินที่จำนองทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน และกรณีนี้เป็นเรื่องการจัดการสินบริคณห์ มิใช่เรื่องการชำระหนี้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าเป็นหนี้ร่วมที่จะต้องใช้จากสินบริคณห์และสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 13760, 13761, 13762 แขวงหัวหมากใต้และเลขที่12164 แขวงลาดพร้าว (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) เขตบางกะปิกรุงเทพมหานครออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบจำเลยที่ 1 ที่ 3 ไม่ชำระโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินทั้งสี่แปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 3 ที่ดินทั้งสี่แปลงเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองเพื่อประกันหนี้ไว้กับโจทก์ในเรื่องส่วนตัวผู้ร้องไม่ทราบและไม่ยินยอมด้วยนิติกรรมจำนองเป็นโมฆียะไม่ผูกพันผู้ร้องจึงขอบอกล้างนิติกรรมที่ดินทั้งสี่แปลงเป็นส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่งฉะนั้นเมื่อศาลขายทอดตลาดที่ดินที่โจทก์นำยึดได้เงินจำนวนเท่าใดต้องแบ่งให้ผู้ร้องกึ่งหนึ่งจึงขอให้กันส่วนของผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่าเมื่อพ.ศ.2516 จำเลยที่ 3 นำที่ดินทั้งสี่แปลงอันเป็นสินบริคณห์มาจำนองไว้กับโจทก์เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ 3 กับหนี้บริษัทซึ่งจำเลยที่ 3 และผู้ร้องต่างเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทนั้นด้วยเป็นการจำนองเพื่อประโยชน์ในทางทำมาหาเลี้ยงชีพระหว่างจำเลยที่ 3 และผู้ร้องร่วมกันโดยผู้ร้องทราบและยินยอมแล้วขณะจดทะเบียนจำนองจำเลยที่ 3 มีอำนาจตามกฎหมายในการจัดการสินบริคณห์ได้โดยลำพังและจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งเป็นหนี้ร่วมนิติกรรมจึงผูกพันผู้ร้องผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 จำนองที่ดินทั้งสี่แปลงซึ่งเป็นสินบริคณห์ขณะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิมมาตรา 1468 ใช้บังคับอยู่ซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้สามีเป็นผู้จัดการสินบริคณห์ได้แต่ผู้เดียวและกรณีนี้ไม่ปรากฎว่ามีสัญญาก่อนสมรสไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นการจำนองที่ดินดังกล่าวแม้ผู้ร้องไม่ทราบและไม่รู้เห็นยินยอมด้วยการจำนองก็ย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมายมีผลผูกพันทรัพย์ที่เป็นส่วนของผู้ร้องด้วยผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องมีประเด็นเฉพาะเรื่องจำเลยที่ 3 จำนองที่ดินพิพาทประกันหนี้จำเลยที่ 2 เท่านั้นไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการยึดเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ที่จำเลยที่ 3ค้ำประกันจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ของผู้ร้องจึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยพิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในข้อที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ที่จำเลยที่ 3 จำนองค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 ไว้เป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นเห็นว่าตามคำร้องและอุทธรณ์ของผู้ร้องได้กล่าวถึงการค้ำประกันเพื่อแสดงถึงที่มาของการจำนองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 3 ซึ่งผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วยจึงมาร้องขอกันส่วนถือได้ว่ามีการว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นแล้วแต่โดยที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าผู้ร้องมีสิทธิที่จะมาร้องขอกันส่วนตามคำร้องหรือไม่และกรณีเป็นหนี้ร่วมหรือไม่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียว ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 จำนองที่ดินสินสมรสทั้งสี่แปลงซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องและจำเลยที่ 3 ไว้กับโจทก์ขณะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1468 เดิมมีผลใช้บังคับอยู่และไม่มีสัญญาก่อนสมรสกำหนดให้ผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 3เป็นผู้จัดการสินบริคณห์หรือให้จัดการร่วมกัน ตามบทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจสามีเป็นผู้จัดการสินบริคณห์ได้แต่ผู้เดียวเว้นแต่ในสัญญาก่อนสมรสจะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นการที่จำเลยที่ 3 นำที่ดินสินสมรสทั้งสี่แปลงไปจำนองกับโจทก์จึงมีผลสมบูรณ์ผูกพันที่ดินที่จำนองไว้ทั้งหมดทุกแปลงผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วนและกรณีนี้เป็นเรื่องการจัดการสินบริคณห์มิใช่เรื่องการชำระหนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าเป็นหนี้ร่วมที่จะต้องใช้หนี้จากสินบริคณห์และสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1480
พิพากษากลับให้ยกคำร้องของผู้ร้อง.