คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3076/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับฝากเงินจากโจทก์ จำเลยผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แม้ว่าการรับฝากเงินรายนี้จะไม่มีบำเหน็จค่าฝาก และจำเลยจะได้ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของจำเลยก็ตาม เมื่อปรากฏว่าเงินซึ่งฝากนั้นสูญหายเพราะถูกคนร้ายลักไปแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยก็ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนที่จำเลยรับฝากไว้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๗ โจทก์นำเงินจำนวน ๙,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา คิดเป็นเงินไทย ๒๔๓,๐๐๐ บาท ไปฝากไว้แก่จำเลรย โดยตกลงกันว่า จำเลยสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวออกใช้ แต่เมื่อโจทก์เรียกคืนเมื่อใดจำเลยต้องคืนเงินให้ทันที หลังจากนั้นโจทก์ไปขอรับเงินคืนจากจำเลยหลายครั้งเป็นเงิน ๔,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ต่อมาโจทก์ไปขอรับเงินส่วนที่เหลือ ๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา คิดเป็นเงินไทย ๑๓๕,๐๐๐ บาท คืนจากจำเลย แต่จำเลยไม่คืนให้ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน ๑๓๕,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยนำเงิน ๙,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา มาฝากไว้แก่จำเลย แต่โจทก์เคยฝากซองปิดผนึก ๑ ซอง ไว้โดยบอกว่าเป็นของบรรจุเอกสาร จำเลยเก็บซองดังกล่าวไว้ในตู้นิรภัยรวมกับทรัพย์สินของจำเลย โดยใช้ความระมัดระวังดังเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง แต่ตู้นิรภัยดังกล่าวถูกคนร้ายงัดและลักเอาของโจทก์ไปกพร้อมกับทรัพย์สินมีค่าของจำเลยจำนวนมาก เป็นเหตุสุดวิสัยที่จะป้องกันได้ จำเลยรับฝากไว้โดยไม่มีบำเหน็จ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน ๑๓๕,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับฝากเงินจากโจทก์ไว้ตามฟ้องและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้ว่าการรับฝากเงินรายนี้จะไม่มีบำเหน็จค่าฝาก แม้จำเลยจะได้ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของจำเลยเองดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม เมื่อปรากฎว่าเงินซึ่งฝากนั้นสูญหายเพราะถูกคนร้ายลักไปแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยก็ต้องรับผิดคืนเงินจำนวนที่จำเลยรับฝากไว้นั้นแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๓
พิพากษายืน

Share