คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3068/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 กำหนดว่าเงินค่าทดแทนนั้น ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามข้อ 63 แล้ว ให้กำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับในกรณีที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเช่นว่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 กำหนดค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ที่ถูกเวนคืนโดยถือบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินปี 2525-2527 อันเป็นราคาคงที่ตลอดเวลาที่ใชับัญชีดังกล่าวมิใช่ราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ย่อมไม่เป็นธรรมต่อโจทก์และไม่ชอบด้วยกฎหมายถือไม่ได้ว่าเป็นราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 45435 ตำบลบางซื่อ (บางซ่อน) อำเภอดุสิต (บางซื่อ)จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 32 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เมื่อวันที่23 ธันวาคม 2527 ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตดุสิต เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2527ออกใช้บังคับเพื่อสร้างทางและขยายทางหลวงให้รับกับสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะสร้างขึ้นใหม่ใกล้สะพานพระรามหกโดยกำหนดให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะอธิบดีเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ปรากฎว่า ที่ดินของโจทก์พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวถูกพิจารณาตัดผ่านและถูกเวนคืนทั้งหมดเป็นเนื้อที่ 32 ตารางวา ต่อมาจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้กำหนดค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนแล้วให้โจทก์ไปทำบันทึกตกลงราคาค่าทดแทนและทำสัญญารับเงิน โจทก์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงจึงต้องทำบันทึกรับเงินค่าทดแทนกับจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองกำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ตารางวาละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน320,000 บาท และกำหนดค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน1,138,109 บาท กับค่าทดแทนอื่น ๆ อีกจำนวน 82,402 บาท ซึ่งโจทก์พอใจในค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างและค่าทดแทนอื่น ๆ แต่ในส่วนค่าทดแทนที่ดินนั้นโจทก์เห็นว่าจำเลยทั้งสองพิจารณาจ่ายโดยไม่เป็นธรรมเพราะที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินที่อยู่ในย่าน*ชุมชนติดถนนใหญ่เป็นที่เจริญแล้ว การคมนาคมไปมาสะดวก ซึ่งในพื้นที่เดียวกันนี้ที่ดินจะมีราคาซื้อขายกันจริงตารางวาละ 30,000ถึง 40,000 บาท โจทก์จึงได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของจำเลยทั้งสองไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่จนบัดนี้ยังไม่ได้รับคำวินิจฉัย โจทก์ขอคิดราคาที่ดินตารางวาละ 20,000 บาท เนื้อที่32 ตารางวา เป็นเงิน 640,000 บาท เมื่อหักกับค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับจากจำเลยแล้วยังขาดจำนวนอีก 320,000 บาทขอให้จำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน 320,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2532 อันเป็นวันครบกำหนดวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้กำหนดค่าตอบแทนที่ดินให้แก่โจทก์โดยถูกต้องตามกฎหมายด้วยความเป็นธรรมและเหมาะสมกับสภาพที่ดินของโจทก์แล้ว โดยยึดถือข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงเป็นหลักตามประกาศของคณะปฎิวัติ* ฉบับที่ 295 ข้อ 76 ได้กำหนดราคาค่าทดแทนโดยถือเอาบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนสำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งใช้บังคับในระหว่างปี พ.ศ. 2525 ถึง 2527เป็นหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาค่าทดแทนที่จำเลยทั้งสองกำหนดค่าทดแทนเฉพาะที่ดินให้โจทก์ในอัตราตารางวาละ 10,000 บาทเป็นราคาที่สูงอยู่แล้ว จำเลยที่ 2 กระทำการที่เกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินของโจทก์ในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้กระทำในฐานะส่วนตัวจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง โจทก์ทำสัญญารับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2531 แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2531 จึงเป็นการยื่นอุทธรณ์เกินกว่า 60 วันโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 มาตรา 25 ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าทดแทนที่ดินที่เพิ่มขึ้นจำนวน 320,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง (วันที่ 13 ตุลาคม 2532) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เงินค่าทดแทนต้องกำหนดเท่าราคาของทรัพย์สินตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับคือวันที่ 23 ธันวาคม 2527 (ที่ถูกวันที่ 28 ธันวาคม 2527)ศาลอุทธรณ์กำหนดราคาที่ดินโดยทำบัญชีกำหนดราคาที่ดินซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2528-2530 และบัญชีราคาประเมินที่ดินซึ่งยังมิได้ใช้บังคับมาเป็นเกณฑ์กำหนดเงินค่าทดแทนขัดต่อประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าเงินค่าทดแทนต้องกำหนดเท่าราคาทรัพย์สิน ตามราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับตามประกาศของคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 76 แต่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าไม่ปรากฎหลักฐานการซื้อขายที่ดินชัดแจ้งว่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินของโจทก์มีการซื้อขายตามราคาธรรมดาในท้องตลาดเท่าใด จึงถือเอาบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาต*ลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินปี 2525-2527 เป็นเกณฑ์กำหนดค่าทดแทนโดยถือเป็นราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในราคาตารางวาละ10,000 บาท ให้โจทก์ แต่ในข้อนี้โจทก์นำสืบมีนายอนุวัฒน์เมธีวิบูลวุฒิ หัวหน้าฝ่ายทะเบียน 1 สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครเป็นพยานเบิกความว่า ตามบัญชีราคาประเมินที่ดินซึ่งจะใช้บังคับในปี 2531-2534 ที่ดินติดถนนพิบูลสงครามระยะ 20เมตร ราคาตารางวาละ30,000 บาท ส่วนบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี 2528-2530 ที่ดินติดถนนพิบูลสงครามลึกเข้าไปไม่เกิน40 เมตร ราคาตารางวาละ 15,000 บาท และมีการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 58847 และเลขที่ 58843 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2527และวันที่ 5 เมษายน 2527 ซึ่งเป็นที่ดินใกล้เคียงกับพื้นที่ที่กำหนดในบัญชีกำหนดราคาที่ดินก็มีราคาตารางวาละ 15,000 บาท อันเป็นการนำสืบว่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวที่ได้มีการซื้อขายไปก่อนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนใช้บังคับในวันที่ 28 ธันวาคม 2527 มีราคาเท่าใด และต่อไปที่ดินบริเวณดังกล่าวจะมีราคาเพียงใด เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าที่ดินบริเวณใกล้เคียงกับที่ดินของโจทก์ในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดเท่าใด ทั้งนี้เพื่อคำนวณราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในขณะนั้น นอกจากนั้นนายอนุวัฒน์ยังเบิกความอีกว่า ปกติการซื้อขายที่ดินตามท้องตลาดจะซื้อขายกันในราคาสูงกว่าราคาประเมินของกรมที่ดิน ดังนี้จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าที่ดินของโจทก์มีราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดขณะนั้นไม่ต่ำกว่าตารางวาละ 20,000 บาท ซึ่งเป็นการนำสืบเปรียบเทียบโดยอาศัยหลักฐานทางราชการดังกล่าวประกอบเท่านั้น มิได้เป็นการวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนโดยถือเอาบัญชีกำหนดราคาที่ดิน และบัญชีราคาประเมินที่ดินเป็นเกณฑ์กำหนดค่าตอบแทนโดยตรงและราคาที่กำหนดนี้สูงกว่าราคาตามอัตราที่จำเลยที่ 1 ถือเกณฑ์กำหนดมาก ย่อมเห็นได้ว่าค่าทดแทนที่จำเลยที่ 1 กำหนดให้โจทก์โดยถือบัญชีกำหนดจำนวนราคาที่ดินตามราคาตลาดเพื่อใช้เป็นทุนทรัพย์สำหรับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของกรมที่ดินปี 2525-2527 อันเป็นราคาคงที่ตลอดเวลาที่ใช้บัญชีดังกล่าวมิใช่ราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาด ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ย่อมไม่เป็นธรรมต่อโจทก์และไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าเป็นราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ดังกล่าวหาได้ขัดต่อประกาศของคณะปฎิวัติ*ฉบับที่ 295ข้อ 76 ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share