คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3057/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แพทย์ประจำตำบลและครูประชาบาลมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้ว การที่นายอำเภอซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชามีคำสั่งแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานตามโครงการพัฒนาท้องถิ่น และช่วยให้ประชาชนในชนบทมีงานทำในฤดูแล้ง พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นการปฏิบัติราชการของอำเภอ เช่นนี้ ถือได้ว่าแพทย์ประจำตำบลและครูประชาบาลปฏิบัติงานในฐานะเป็นเจ้าพนักงาน
ราษฎรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาตำบล เมื่อไม่มีกฎหมายระบุให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แม้นายอำเภอมีคำสั่งแต่งตั้งให้ไปปฏิบัติราชการของอำเภอและราษฎรผู้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาตำบลได้ปฏิบัติงานดังกล่าวแล้ว ก็หาทำให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นคณะกรรมการสภาตำบล มีหน้าที่ดำเนินงานตามโครงการพัฒนาท้องถิ่นและช่วยประชาชนในชนบทให้มีงานทำในฤดูแล้ง พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งรวมทั้งจ้างแรงงาน เบิกและจ่ายเงินตามโครงการ จำเลยทั้งหกได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ได้ร่วมกันปลอมเอกสารราชการว่าได้จ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้มีชื่อแล้ว และได้เบิกเงินของทางราชการไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นเงิน ๓๒๗,๑๘๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗, ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๘, ๘๓ และให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่รัฐบาล
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ จำคุกคนละ ๖ ปี และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้เงินจำนวน ๑๒๔,๑๘๐ บาท ให้แก่รัฐบาล ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๖ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ มีความผิดตามประมวบกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ ประกอบด้วยมาตรา ๘๖ จำคุกคนละ ๔ ปี ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้เงิน ๑๐๑,๔๓๐ บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๖ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งหกได้ร่วมกันเบิกเงินเกินไปกว่าที่จ่ายจริง ๑๐๑,๔๓๐ บาท ปัญหาว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๖ เป็นเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๒ เป็นแพทย์ประจำตำบล จำเลยที่ ๖ เป็นครูประชาบาล ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้ว การที่นายอำเภอมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๖ ไปปฏิบัติงานตามโครงการพัฒนาท้องถิ่นจึงเป็นการปฏิบัติราชการของอำเภอ เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๖ ปฏิบัติงานในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
ส่วนจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาตำบลเท่านั้น ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๒๖ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ มิได้ระบุให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนตำบล พ.ศ. ๒๔๙๙ (ซึ่งได้ยกเลิกไปแล้ว) ฉะนั้นแม้นายอำเภอมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยไปปฏิบัติราชการของอำเภอและจำเลยได้ปฏิบัติงานดังกล่าวแล้ว ก็หาทำให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ และที่ ๖ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share