แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยจัดการโอนที่ดินพิพาทซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์ คืนให้แก่โจทก์นั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทมาจากบุคคลภายนอก คำขอท้ายฟ้องย่อมมีผลให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยกับบุคคลภายนอก อันเป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ซึ่งบุคคลดังกล่าวอาจมีข้อโต้แย้งเป็นอย่างอื่น ศาลจึงพิพากษาคดีให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ส่วนในปัญหาข้อ (2) ที่ว่าศาลจะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองคืนที่พิพาทโฉนดเลขที่ 1521 ให้โจทก์ได้หรือไม่นั้นเห็นว่าที่พิพาทโฉนดเลขที่ 1521 มีอยู่ 3 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของนางสอนขายให้แก่พระครูโสภณธรรมาภรณ์ เมื่อนายผลรับมรดกมาแล้วได้โอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 เลยทีเดียวตามบันทึกข้อตกลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2513 ส่วนหนึ่งเป็นมรดกของนางสุด นายพูนสามีโจทก์ไปขอรับมรดกแทนพระครูโสภณธรรมาภรณ์แล้วโอนขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามบันทึกข้อตกลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2513 อีกส่วนหนึ่งเป็นของพระครูโสภณธรรมาภรณ์เองโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 การที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยทั้งสองจัดการโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1521 คืนให้แก่โจทก์ย่อมมีผลให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินพิพาทโฉนดที่ 1521 ทั้ง 3 ส่วนดังกล่าวระหว่างพระครูโสภณธรรมาภรณ์และนายผล การะเกตุ กับจำเลยทั้งสอง อันเป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิของพระครูโสภณธรรมาภรณ์และนายผล การะเกตุ บุคคลภายนอกซึ่งมิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วย ซึ่งบุคคลดังกล่าวอาจจะมีข้อโต้แย้งเป็นอย่างอื่น ศาลจึงพิพากษาคดีให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อได้วินิจฉัยมาเช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพันตำรวจโทจิระ เครือสุวรรณ เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน