คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3050/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้ที่ต้องชำระด้วยเงินแก่จำเลยจนกว่าจะชำระเสร็จนั้นมิได้พิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยโดยนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลทั้งตามคำบังคับของศาลออกให้ตามคำขอของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็มิได้ระบุสถานที่ใช้เงินไว้ด้วยกรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา324ที่บัญญัติให้ต้องชำระณสถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวเป็นหนี้ที่ต้องชำระด้วยเงินโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้จึงต้องนำเงินไปชำระแก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ณภูมิลำเนาของจำเลยการที่โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลยโดยนำเงินมาวางศาลจึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยได้รับชำระหนี้จากโจทก์โดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วและโจทก์ก็มิได้แจ้งการชำระหนี้โดยการนำเงินมาวางศาลให้จำเลยทราบทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทราบถึงการที่โจทก์ได้นำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลยการที่จำเลยขอบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหุ้นของโจทก์ตามหมายบังคับคดีของศาลจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามที่จำเลยมีอยู่เพื่อขอบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตจงใจหรือประมาทเลินเล่อเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใดแล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการผิดกฎหมายและไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นหนี้จำเลยตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 34/2534 ของศาลแขวงราชบุรี เมื่อวันที่9 มีนาคม 2535 โจทก์นำเงินจำนวน 10,832 บาท ไปวางต่อศาลแขวงราชบุรี เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลย หลังจากนั้นจำเลยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดหุ้นบริษัทโพธารามการท่องเที่ยวจำกัด ของโจทก์ จำนวน 20 หุ้น จำเลยสามารถตรวจสอบว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลยแล้วหรือไม่ แต่จำเลยไม่ตรวจสอบกลับให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดหุ้นของโจทก์ด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลย ทำให้โจทก์เสียหายด้านชื่อเสียงเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นและเกลียดชังจากบุคคลอื่น โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ได้ตกลงขายหุ้นของโจทก์จำนวน 600 หุ้น ให้แก่บุคคลอื่น เมื่อผู้ซื้อทราบว่าหุ้นของโจทก์ถูกยึดจึงไม่ซื้อหุ้นของโจทก์ทั้งหมด ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะได้รับเป็นเงินกำไรจากการขายหุ้นเป็นเงิน 120,000 บาทรวมเป็นค่าเสียหาย 170,000 บาท โจทก์ทวงถาม แต่จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อ จำเลยกระทำไปตามคำสั่งและอำนาจของศาล เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มิได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 7,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ และ จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังมาว่า เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2534ศาลแขวงราชบุรีได้พิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยจำนวน 6,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2528เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้คำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน 2,925 บาท ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2535โจทก์นำเงินจำนวน 10,832 บาท มาวางต่อศาลแขวงราชบุรีเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2535จำเลยได้ยื่นคำขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีอ้างว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมิได้ชำระหนี้โดยมิได้ตรวจสำนวนเสียก่อน และศาลแขวงราชบุรีได้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2537 จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดหุ้นของโจทก์
มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาของศาลแขวงราชบุรีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 34/2534 ที่พิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยนั้น มิได้พิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยโดยนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลทั้งตามคำบังคับที่ศาลแขวงราชบุรีออกให้ตามคำขอของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็มิได้ระบุสถานที่ใช้เงินไว้ด้วย ดังนั้น กรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 324 ที่บัญญัติว่า”เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะพึงชำระหนี้ณ สถานที่ใดไซร้ หากจะต้องส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งท่านว่าต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์นั้นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้นั้น ส่วนการชำระหนี้โดยประการอื่น ท่านว่าจะต้องชำระณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้” เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวเป็นหนี้ที่ต้องชำระด้วยเงิน โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้จึงต้องนำเงินไปชำระแก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลย การที่โจทก์ชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลยโดยนำเงินมาวางศาล จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยได้รับชำระหนี้จากโจทก์โดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่า โจทก์ได้แจ้งการชำระหนี้โดยการนำเงินมาวางศาลให้จำเลยทราบแล้วแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทราบถึงการที่โจทก์ได้นำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่จำเลยด้วยแล้ว การที่จำเลยขอบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหุ้นของโจทก์เช่นนี้จึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามที่จำเลยมีอยู่เพื่อขอบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริตจงใจหรือประมาทเลินเล่อเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใดแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการผิดกฎหมายและไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์

Share