คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กองมรดกมีแต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านเพียงสองคนเท่านั้นที่ขอเป็นผู้จัดการมรดก แต่ทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านมีพฤติการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันหากให้ร่วมกันจัดการมรดกคงไม่อาจถือเอาเสียงข้างมากได้และไม่เป็นผลดีแก่กองมรดก จึงสมควรตั้งผู้จัดการมรดกเพียงคนเดียว ผู้ร้องเป็นบุตรคนโต ของผู้ตายและเป็นพี่ของทายาททุกคน มีอายุ47 ปี เคยช่วยเหลือผู้ตายดูแล กิจการโรงแรมซึ่งเป็นทรัพย์มรดกอยู่นานประมาณ 10 ปี เคยเป็นเทศมนตรี สมาชิกสภาจังหวัด ประธานสภาจังหวัดและเคยดำเนินธุรกิจโดยเป็นผู้จัดการบริษัทเงินทุนนานประมาณ 8 ปีทั้งบรรดาทายาทส่วนมากของผู้ตายต่างยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ส่วนผู้คัดค้านแม้จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแต่อายุเพียง 26 ปี เมื่อเทียบกับผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องมีประสบการณ์ในชีวิต และการทำงานมากกว่าผู้คัดค้าน และตามข้อนำสืบของผู้คัดค้านยังฟังไม่ชัดแจ้งว่า ผู้ร้องมีเจตนาที่จะเบียดบังและยักย้ายทรัพย์มรดกหรือมีความประพฤติไม่ดีต่อกองมรดกของผู้ตาย ผู้ร้องจึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกมากกว่าผู้คัดค้าน.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ นายวิบูลย์ อูนากูล ผู้ตาย
นายดิลก อูนากูล ผู้คัดค้านที่ 1 และนายชุติ อูนากูลผู้ร้องคัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องมีเจตนาที่จะเบียดบังและยักย้ายทรัพย์มรดกให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแต่เพียงผู้เดียวขอให้ยกคำร้อง แต่มีคำสั่งตั้งผู้ร้องคัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดก
ระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง นายดิลกผู้ร้องคัดค้านที่ 1ขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนได้ คงมีแต่นายชุติผู้ร้องคัดค้านที่ 2 ร้องคัดค้านแต่ผู้เดียว
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งผู้ร้องและผู้คัดค้านร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกมีพินัยกรรมของผู้ตาย
ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 บัญญัติว่า”ถ้าผู้จัดการมรดกมีหลายคนการทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกนั้นต้องถือเอาเสียงข้างมากเว้นแต่จะมีข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น ถ้าเสียงเท่ากัน เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด” ดังนั้นในกรณีของกองมรดก ผู้ตายมีแต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านเพียงสองคนเท่านั้นที่ขอเป็นผู้จัดการมรดกทั้งมีพฤติการณ์ตามที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านนำสืบปรากฏว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกันการจัดการมรดกคงจะไม่อาจถือะอาเสียงข้างมากได้ หากให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันอาจจะไม่เป็นผลดีแก่กองมรดกและแก่ทายาทของผู้ตาย โดยเหตุนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าผู้ร้องหรือผู้คัดค้านคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่สมควรจะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามทางนำสืบของทั้งสองฝ่ายได้ความว่าผู้ร้องเป็นบตรคนโตของผู้ตายและเป็นพี่ของทายาททุกคนมีอายุ 47 ปีเคยช่วยเหลือผู้ตายดูแลกิจการโรงแรมอูนากูลอยู่นานประมาณ 10 ปีโดยเป็นเทศมนตรีของเทศบางเมืองชลบุรี เป็นสมาชิกสภาจังหวัดและประธานสภาจังหวัดชลบุรีมาแล้ว นอกจากนี้ยังดำเนินธุรกิจโดยเป็นผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอ.ที.เอฟ. จำกัด นานประมาณ 8 ปี ทั้งบรรดาทายาทส่วนมากของผู้ตายต่างยินยอมให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ส่วนผู้คัดค้านแม้จะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทและทำงานอยู่ที่บริษัทฟิลิปส์ จำกัด ก็ดี แต่อายุเพียง 26 ปี เมื่อเทียบกับผู้ร้องแล้วเห็นว่า ผู้ร้องมีประสบการณ์ในชีวิตและการทำงานมากกว่าผู้คัดค้าน และตามข้อนำสืบของผู้คัดค้านยังฟังไม่ชัดแจ้งว่า ผู้ร้องมีเจตนาที่จะเบียดบังและยักย้ายทรัพย์มรดก หรือมีความประพฤติไม่ดีต่อกองมรดกของผู้ตายผู้ร้องจึงมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกมากกว่าผู้คัดค้านฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแต่ผู้เดียว ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share