แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง จำเลยจะโต้เถียงขึ้นมาในชั้นฎีกาอีกไม่ได้ จำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุ 8 ปี โดยการกอดจูบและใช้นิ้วแหย่เข้าไปในอวัยวะเพศหลายครั้ง โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสองมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงถึง 15 ปี ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุกจำเลย8 เดือน เป็นการเหมาะสมแล้ว.(ที่มา-เนติ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำอนาจารเด็กหญิงพรเพ็ญ อายุ 8 ปีโดยหลอกลวงเข้าไปในป่าสวนมะพร้าว แล้วจับเด็กหญิงพรเพ็ญนอนบนตักแล้วกอดจูบหลายครั้ง โดยเด็กหญิงพรเพ็ญอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้วจำเลยใช้นิ้วแหย่เข้าไปในอวัยวะเพศของเด็กหญิงพรเพ็ญหลายครั้ง ขอให้ลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 279 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 6 เดือนปรับ 3,000 บาทรอการลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา29, 30 โจทก์อุทธรณ์ขอให้กำหนดโทษสูงขึ้นและไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 8 เดือน โดยไม่รอการลงโทษนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาขอให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาบางตอนว่าจำเลยมิได้กระทำผิดนั้น เนื่องจากจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจำเลยจะโต้เถียงขึ้นมาในชั้นฎีกาอีกหาได้ไม่ ข้อที่จำเลยฎีกาขอลดหย่อนโทษ และให้รอการลงโทษนั้น ปรากฏว่าความผิดที่จำเลยกระทำนั้นกฎหมายวางอัตราโทษจำคุกขั้นสูงไว้ถึง 15 ปี และเมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วเห็นว่าโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโดยไม่รอการลงโทษนั้น เป็นการเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.