แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(เดิม) หรือ 198 ทวิ (ใหม่) คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของ ป. หรือไม่ ดังนี้ ที่จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมิใช่ทรัพย์มรดกของ ป. โดยที่ดินแปลงแรกเป็นของจำเลยที่ 2 ส่วนที่ดินแปลงที่ 2และแปลงที่ 3 เป็นของจำเลยทั้งห้านั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามมาตรา 225 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งห้าเป็นบุตรนายเที่ยง สร้อยทอง และนางเป๋าสร้อยทอง นายเที่ยงถึงแก่กรรมไปก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2534 นางเป๋าได้ถึงแก่กรรม มีที่ดินเป็นทรัพย์มรดก 3 แปลง คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 50 เนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน 9 ตารางวา ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 55 เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 64 เนื้อที่ 17 ไร่ 2 งาน 65 ตารางวา ที่ดินดังกล่าวโจทก์และจำเลยทั้งห้ามีสิทธิรับมรดกคนละส่วนเท่ากัน แต่จำเลยทั้งห้าซึ่งครอบครองอยู่ไม่ยอมแบ่งที่ดินให้แก่โจทก์ตามสิทธิ ขอให้บังคับโจทก์และจำเลยทั้งห้าเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 50 หมู่ที่ 1 ตำบลท่าไม้ อำเภอท่ามะกาจังหวัดกาญจนบุรี ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 55 หมู่ที่ 3 ตำบลยางม่วง อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 64 หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม คนละส่วนเท่า ๆ กัน หากไม่อาจแบ่งปันได้ให้นำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งคนละส่วนเท่ากัน ให้จำเลยทั้งห้าไปลงชื่อร่วมกับโจทก์ในทะเบียนที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว หากจำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า
จำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งห้า
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่า แม้จำเลยทั้งห้าจะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ก็ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205(เดิม) หรือ 198 ทวิ (ใหม่)คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของนางเป๋าหรือไม่ ดังนี้ ที่จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงมิใช่ทรัพย์มรดกของนางเป๋า โดยที่ดินแปลงแรกเป็นของจำเลยที่ 2 ส่วนที่ดินแปลงที่ 2และแปลงที่ 3 เป็นของจำเลยทั้งห้านั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่รับวินิจฉัย จึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น