คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1)เมื่อปรากฏว่า สัญญากู้เงินซึ่งเป็นเอกสารสิทธินั้นมีเรื่องที่แท้จริงรวมกันอยู่ 2 เรื่อง คือมีหนังสือสัญญากู้เงิน 1 มีบันทึกการชำระหนี้เงินกู้รายนี้บางส่วน 1 แต่จำเลยได้ลบบันทึกดังกล่าวออกเสียเอกสารสิทธินั้นก็จะมีหนังสือสัญญาอันเป็นเอกสารที่แท้จริงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว การที่จำเลยลบบันทึกนั้นออกก็เพื่อให้โจทก์หรือศาลหลงเชื่อว่าเอกสารสิทธิมีหนังสือสัญญากู้เงินเพียงเรื่องเดียวซึ่งแสดงว่าไม่เคยผ่อนชำระหนี้กันเลยการกระทำเช่นนี้เป็นการตัดทอนหรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง เป็นผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
(2)แม้จำเลยจะยังมิได้นำสืบ แต่ได้แสดงพยานหลักฐานเท็จต่อศาลแล้ว โดยส่งเอกสาร (หมาย จ.1) ซึ่งเดิมมีอยู่ 2 หลักฐาน แต่จำเลยส่งแสดงว่ามีหลักฐานเดียวย่อมเป็นการแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาลตามมาตรา 180 แล้ว
(3)การปลอมเอกสารซึ่งอยู่ในความยึดถือของจำเลยนั้นย่อมมีโอกาสทำได้ในที่ลับ เป็นการยากที่จะมีประจักษ์พยาน ฉะนั้น พยานประพฤติเหตุบ่งว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารไม่ผิดตัว ก็ฟังลงโทษจำเลยได้
(4)เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้นำพยานสืบแก้ฟ้องโจทก์แล้วยังอ้างผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมเพื่อตรวจพิสูจน์เอกสารที่โจทก์อ้างไว้ว่ามีรอยลอกอากรแสตมป์ และมีรอยลบข้อความบางประการออกหรือไม่ซึ่งข้อความที่จะนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญนี้พยานจำเลยไม่ได้เบิกความมาก่อนเลยและโจทก์ก็ไม่รู้ว่าจำเลยจะนำสืบประเด็นเช่นนี้ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจให้โจทก์นำสืบแก้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 89 วรรค 3
หมายเหตุ หมายเลข (1) วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2508

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยบังอาจสมคบกันทำผิดกฎหมายคือ โจทก์ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินจำเลยที่ 1 ไป 4,000 บาท ต่อมาโจทก์ชำระต้นเงินให้จำเลยที่ 1 ไปแล้ว 2,500 บาท จำเลยที่ 1 ได้บันทึกในช่องว่างของสัญญาข้อ 4-5 ว่าได้ชำระต้นเงินกู้แล้วสองพันห้าร้อยบาท ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2500 จำเลยที่ 1 ลงชื่อไว้ โจทก์เขียนว่าชำระแล้วและลงชื่อโจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยที่ 2 รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดศรีสะเกษเรียกต้นเงิน 4,000 บาท และดอกเบี้ย โดยคัดสำเนาหนังสือสัญญากู้แนบท้ายฟ้องด้วย ก่อนโจทก์ยื่นคำให้การจำเลยได้ร่วมกันส่งสัญญากู้ต่อศาล ครั้นวันที่ 21 มิถุนายน 2501 จำเลยที่ 2 ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างสัญญากู้และเบิกความต่อศาลว่า ไม่เคยมีการขีดเขียนข้อความใด ๆ ลงในระหว่างข้อ 4-5 ของสัญญา ศาลจังหวัดศรีสะเกษและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้ยาลบหมึกลบข้อความบันทึกการชำระเงินซึ่งเขียนไว้ในสัญญากู้ออก พิพากษาให้โจทก์ใช้ต้นเงิน 1,500 บาทปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 110/2501 ทั้งนี้ โดยจำเลยได้ร่วมกันหรือร่วมกับผู้อื่นปลอมแปลงเอกสารหนังสือสัญญากู้และปลอมหลักฐานเอกสารชำระเงิน ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิโดยจำเลยสมคบกันเอายาลบหมึกลบข้อความเกี่ยวกับการชำระเงินซึ่งจำเลยที่ 1 บันทึกไว้และลบข้อความและลายมือชื่อโจทก์ออก โดยเอาอากรแสตมป์ปิดทับรอยลบนั้นเสีย แล้วเอาสัญญากู้ฟ้องเรียกเงิน 4,000 บาทจากโจทก์ การกระทำของจำเลยเป็นการตัดทอนหรือแก้ไขข้อความในเอกสารสิทธิอันแท้จริงโดยเจตนาทุจริต และน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเพื่อให้ผู้พิพากษาศาลจังหวัดศรีสะเกษหลงเชื่อว่าสัญญากู้ตามฟ้องเป็นสัญญากู้เงินที่มีต้นเงิน 4,000 บาท ระหว่างวันที่ 13 ถึง 21 มิถุนายน 2501 เวลากลางวัน โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยส่งสัญญากู้ที่แท้จริง จำเลยทั้งสองสมคบกันใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอม โดยส่งสัญญากู้ซึ่งปลอมแล้วต่อศาลเป็นพยาน ต่อมาโจทก์เบิกความเท็จต่อศาลว่าไม่เคยขีดเขียนข้อความใด ๆ ลงไปซึ่งความจริงมีการบันทึกชำระต้นเงิน 2,500 บาท และจำเลยได้สมคบกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดีแพ่ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81, 91,177, 180, 264, 265, 266, 268

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยร่วมกันหรือร่วมกับผู้อื่นทำการปลอมแปลงเอกสาร แล้วร่วมกันใช้โดยรู้ว่าปลอมแปลงแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดี ผิดมาตรา 83, 91, 264, 265, 268 ให้ลงโทษตามมาตรา 265 บทหนัก จำคุกคนละ 1 ปี

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1, 2 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงโดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

จำเลยที่ 2 ตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(1) คงพิจารณาพิพากษาเฉพาะจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวต่อไป

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 นั้น ถ้าโจทก์ฟ้องและนำสืบปรากฏการลบบันทึกชำระหนี้ในเอกสารหมาย จ.1 เมื่อไม่อาจจะปรับเอาเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร (บันทึกชำระหนี้) ทั้งฉบับหรือปลอมส่วนหนึ่งส่วนใดของเอกสาร (สัญญากู้) ได้ เพราะเป็นเอกสารสิทธิต่างฉบับกันแล้ว ก็ต้องพิจารณาตามคำฟ้องของโจทก์ต่อไปว่าจะปรับเข้ากับการ “ฯลฯ ตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง ฯลฯ” อันเป็นผิดฐานปลอมเอกสารเช่นกัน ดังมาตรา 264 บัญญัติไว้ เป็นกรรมหนึ่งองค์ความผิดหนึ่งอีกหรือไม่

เอกสารหมาย จ.1 มีเอกสารสิทธิที่แท้จริงอยู่ 2 เรื่อง คือหนังสือสัญญากู้เงินกับบันทึกการชำระหนี้เงินกู้รายนี้บางส่วนเกี่ยวพันกัน ถ้าจำเลยลบบันทึกชำระหนี้ออกจากเอกสารหมาย จ.1 เอกสารหมาย จ.1 ก็จะมีหนังสือสัญญากู้อันเป็นเอกสารแท้จริงเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว การที่จำเลยลบบันทึกชำระหนี้ออกเพื่อให้โจทก์หรือศาลจังหวัดศรีสะเกษหลงเชื่อว่าเอกสารหมาย จ.1 มีหนังสือสัญญากู้เงินเพียงเรื่องเดียวซึ่งไม่เคยผ่อนชำระหนี้กันเลย เป็นการตัดทอนหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่จริง ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยลบบันทึกการชำระเงินในเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งแท้จริงมี 2 เรื่อง ให้หลงเชื่อว่ามีเพียงเรื่องเดียว เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264

ที่จำเลยฎีกาว่า ถ้าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265 ศาลจะลงโทษตามมาตรา 188 ไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องและโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษและจะลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 ก็ไม่ได้เพราะจำเลยไม่ได้ปลอมเอกสาร ศาลฎีกาเห็นว่าไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะฎีกาข้อเหล่านี้ตกไปโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว

ที่จำเลยฎีกาว่า จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180ไม่ได้ เพราะจำเลยมิได้นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยยังมิได้นำสืบ แต่ก็ได้แสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาลแล้ว คือ ส่งเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเดิมมี 2 หลักฐาน จำเลยส่งแสดงว่ามีหลักฐานเดียว จึงเป็นการแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 180 แล้ว

ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ข้อ 3, 6, 8 เคลือบคลุมนั้นศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180, 264 ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว และจำเลยก็นำสืบต่อสู้ได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานรู้เห็นว่าจำเลยปลอมเอกสารศาลฎีกาเห็นว่า การปลอมเอกสารซึ่งอยู่ในความยึดถือของจำเลยย่อมมีโอกาสทำได้ในที่ลับเป็นการยากที่จะมีประจักษ์พยาน โจทก์จึงมีแต่พยานประพฤติเหตุบ่งว่าจำเลยเป็นผู้ปลอม ไม่ผิดตัว ย่อมฟังลงโทษจำเลยได้

ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคำเบิกความของนายธงชัยขัดต่อเหตุเป็นพิรุธฟังไม่ได้ เท่ากับเอาคำพยานจำเลยมาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลชั้นต้นมิได้ทำเช่นนั้นหากแต่ฟังว่า ข้อแก้ตัวของจำเลยที่มีนายธงชัยเป็นพยานนั้นฟังเป็นความจริงไม่ได้

ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นยอมให้โจทก์นำพยานเข้าสืบแก้พยานจำเลยอีกครั้งหนึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ปรากฏว่า จำเลยปลอมเอกสารจำเลยปฏิเสธ เมื่อโจทก์สืบพยานในประเด็นจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารแล้ว จำเลยก็นำพยานเข้าสืบแก้แล้วอ้างผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานเพิ่มเติมเพื่อตรวจพิสูจน์ว่า ด้านหน้าเอกสาร จ.1 ได้มีรอยลอกอากรแสตมป์ออกหรือไม่ และด้านหลังมีรอยลบข้อความบางประการหรือเปล่า ซึ่งข้อที่จะนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญนี้ พยานจำเลยไม่ได้เบิกความถึงมาก่อนเลย และโจทก์ก็ไม่รู้ว่าจำเลยจะนำสืบประเด็นเช่นนี้ ศาลชั้นต้นอาศัยความยุติธรรมให้โจทก์นำสืบแก้ประเด็นที่จำเลยขอให้ตรวจพิสูจน์เอกสารศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจทำได้โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรค 3 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบ

ส่วนฎีกาจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงทุกแง่ทุกมุมประกอบด้วยเหตุผลอันมั่นคงแน่นแฟ้น ฟังเป็นยุติมานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืนในคดีส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1

Share