แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นนายอำเภอผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงเป็นการฟ้องจำเลยในฐานะนายอำเภอผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์มิใช่ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัว และการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยซึ่งโต้แย้งสิทธิของโจทก์ได้ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ในที่พิพาทมีผู้ครอบครองมาตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน แต่มีได้แจ้งการครอบครอง รวมทั้งผู้ครอบครองต่อเนื่องจากบุคคลดังกล่าวจนถึงโจทก์โดยที่รัฐยังมิได้เข้าไปจัดที่ดิน ย่อมยังมีสิทธิครอบครองอยู่ โจทก์มีสิทธิขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ จำเลยเป็นนายอำเภอผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โต้แย้งว่าที่พิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติให้งดการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อปรากฎว่าที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติจำเลยจึงชอบที่จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า เนื้อที่ 12 ไร่เศษตั้งอยู่หมู่ที่ 3(6) ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรังเดิมที่พิพาทเป็นของนายบีหรือบี้ แดงสี ผู้ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ต่อมานายปีได้ยกให้นายหวน พรหมเวช บุตรเขย ปี 2518 นายหวนขายให้โจทก์แล้วโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาจนถึงปัจจุบันเมื่อต้นเดือนกันยายน 2532 โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทโดยใช้รูปถ่ายทางอากาศ (น.ส.3 ก.)ประเภทมิได้แจ้งการครอบครองต่อจำเลย ขณะดำรงตำแหน่งนายอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน หลังจากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์แล้ว ได้หมายเขตที่ดินไว้ในระวางรูปถ่ายหรือระวางขยายว่า ที่พิพาทมีการครอบครองมาก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน และไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือในเขตพื้นที่สงวนไว้เป็นป่าถาวรหรือที่สาธารณประโยชน์หรือที่หวงห้ามหรือที่ที่มีโครงการสงวนคุ้มครองเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการหรือในบริเวณที่มีโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ ต่อมาต้นเดือนธันวาคม2532 โจทก์ไปขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่จำเลยแจ้งว่าไม่สามารถออกให้ได้เพราะที่พิพาทถูกกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติตั้งแต่ปี 2524 ให้โจทก์ยกเลิกหรือถอนคำขอรับรองการทำประโยชน์เสียการที่จำเลยไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการละเมิดต่อโจทก์ขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ให้จำเลยเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์ยกเลิกหรือระงับการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ที่พิพาทในนามโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) แทนโจทก์ต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท นายปีและนายหวนไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ที่พิพาทก่อนที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่พิพาทเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่พิพาทมีสภาพเป็นป่าไม่มีผู้ใดได้สิทธิตามกฎหมายหลังจากที่พิพาทเป็นอุทยานแห่งชาติแล้ว มีผู้บุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทเพียงเล็กน้อย เพื่อเป็นข้ออ้างให้เจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ จำเลยไม่สามารถออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ได้ เพราะฝ่าฝืนต่อกฎหมายและระเบียบคำสั่งของราชการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยมีได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติว่า ขณะที่โจทก์ยื่นคำขอให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาท จำเลยมีตำแหน่งเป็นนายอำเภอกันตังจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ที่พิพาทเป็นที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นนายอำเภอผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ถือได้ว่า เป็นการฟ้องจำเลยในฐานะนายอำเภอผู้มีอำนาจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ มิใช่ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัว และการที่โจทก์อ้างว่า จำเลยไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยซึ่งโต้แย้งสิทธิของโจทก์ได้ โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้
คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทจนได้สิทธิครอบครองหรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าว โจทก์เคยอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วก็เห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาใหม่ และศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทนั้นมีมาตั้งแต่เดิมโดยปู่ของนายปีครอบครองทำประโยชน์และมอบการครอบครองติดต่อกันมาจนกระทั่งถึงโจทก์ซื้อต่อมาจากนายหวน แล้วครอบครองติดต่อกันตลอดมาเป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วโดยมิได้แจ้งการครอบครองไว้ แต่ที่ดินข้างเคียงต่างได้แจ้งการครอบครองอันแสดงว่าต่างครอบครองด้วยกันมา ส่วนสัญญาว่าที่พิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หรือไม่ เห็นว่าเขตอุทยานแห่งชาติในด้านที่พิพาทนี้ ไม่มีการก้นเขตไว้แน่นอน โดยไม่มีการปักหลักเขตไว้ การตรวจสอบยึดถือแปลนที่หมาย ล.2 ซึ่งเป็นแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินให้เป็นอุทยานแห่งชาติซึ่งมีแผนที่เอกสารหมาย ล.3 เป็นส่วนขยายในบริเวณเขตที่พิพาท จึงไม่อาจกำหนดลงได้ว่ามีความกว้างยาวเพียงใด ตามเส้นที่กันเขตอุทยานแห่งชาติโดยรอบไว้ในส่วนที่ก้นเขตพื้นที่ออกจากเขตอุทยานแห่งชาติที่กาดอกจันสีแดงไว้ในเอกสารหมาย ล.3 เป็นการเขียนไว้โดยประมาณ นายจำนงไม่ได้เป็นผู้รังวัดทำแผนที่หมาย ล.2และ ล.3 และไม่ได้อยู่ด้วยขณะทำแผนที่จึงไม่อาจทราบพื้นที่ก้นเขตออกไปว่ามีเพียงใด จึงว่ามีหมู่บ้านซึ่งก้นออกจากเขตอุทยานแห่งชาติการตรวจสอบจึงตรวจสอบเฉพาะที่ดินของหมู่บ้านสำหรับนายประมูลผู้ดำเนินการรังวัดและก้นเขตพื้นที่ดินออกจากเขตอุทยานแห่งชาตินั้นไม่ได้มาตรวจสอบที่พิพาทด้วย ที่เบิกความว่าทราบว่าที่พิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ คือทราบจากรายงานว่า ที่พิพาทตั้งอยู่ระหว่างแนวที่กันออกกันแนวเขาหาดเจ้าไหม ดังนั้น ที่พิพาทจึงอยู่ในเขตที่ติดต่อกับเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมและเขตที่กันออกซึ่งการตรวจสอบเฉพาะเขตที่ดินของหมู่บ้านน่าจะไม่ถูกต้องเพราะที่ดินที่กันออกในขณะที่นายประมูลทำการรังวัดกำหนดเป็นเขตอุทยานแห่งชาตินั้น ได้กันพื้นที่ออกโดยส่วนไหนที่เป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้านอยู่อาศัยรวมทั้งได้มีการปลูกพืชผลแล้วจะกันออก จึงมิใช่กันออกเฉพาะบ้านที่ชาวบ้านอยู่อาศัยเท่านั้น ย่อมจะรวมถึงพื้นที่ที่ชาวบ้านปลูกพืชผลทำกินด้วยซึ่งในขณะที่นายประมูลดำเนินการกำหนดเขตนั้นพื้นที่ดังกล่าวยังไม่เจริญ ชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวอยู่มาแต่ดั้งเดิม การกันเขตย่อมจะกันเขตพื้นที่ที่ชาวบ้านทำกินด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในพื้นที่ที่กันออกนอกจากที่บ้านที่อยู่อาศัยแล้วยังมีสุเหร่า ที่ฝังศพแล้วมีพื้นที่ทำกินติดต่อกับหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านต่างปลูกต้นผลอาสินมาตั้งแต่ดั้งเดิมซึ่งมีปลายเขตติดที่ป่าดังมีการแจ้งการครอบครองไว้จำนวนมากราย ซึ่งตามภาพหมาย ล.3แนวเขาเจ้าไหมไม่ห่างจากแนวเขตที่กันพื้นที่ออกตามที่กาดอกจันสีแดงไว้ ซึ่งปรากฎว่าจากบ้านชาวประมงที่กันไว้ห่างจากเชิงเขาเจ้าไหมประมาณครึ่งกิโลเมตรที่พิพาทตั้งอยู่ระหว่างแนวที่กันออกกับแนวเขาเจ้าไหม โดยที่พิพาทอยู่ติดกับที่นายบีอินหรือเอนถัดต่อไปห่างจากที่พิพาทประมาณ 50 เมตร เป็นที่ฝังศพถัดไปอีกประมาณ 50 เมตร เป็นสุเหร่า แล้วเป็นบ้านที่ชาวบ้านอยู่อาศัย รวมที่พิพาทอยู่ห่างหมู่บ้านประมาณ 100 ถึง 200 เมตรซึ่งอยู่ค่อนมาทางหมู่บ้าน ในขณะที่นายประมูลทำการสำรวจรังวัดนั้นในที่พิพาทและที่ทำกินใกล้เคียงติดต่อกันต่างทำประโยชน์มีผลอาสินกันทั้งสิ้น ซึ่งแนวที่กันออกถึงแนวเขตภูเขาเจ้าไหมไม่มีชาวบ้านปลูกผลอาสินหรือสิ่งปลูกสร้างแต่อย่างใด เนื่องจากที่ดินดังกล่าวมีลักษณะเป็นชายหาดมีต้นไม้จำพวกเสม็ด สำหรับต้นมะพร้าวและต้นมะม่วงหิมพานต์ไม่มีในบริเวณนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ได้กันออกจากเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมในบริเวณที่กาดอกจันสีแดงไว้ในเอกสารหมาย ล.3 นั่นเอง ซึ่งในส่วนนี้มีเขตที่มีการทำกินรวมกันเป็นหมู่บ้านเดียวกัน จึงมิได้ปักหมุดเป็นเขตไว้คงปักเฉพาะด้านที่มีปัญหา ฟังได้ว่า ที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ในที่พิพาทมีผู้ครอบครองมาตั้งแต่ก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน แต่มิได้แจ้งการครอบครอง รวมทั้งผู้ครอบครองต่อเนื่องจากบุคคลดังกล่าวจนถึงโจทก์ โดยที่รัฐยังมิได้เข้าไปจัดที่ดินแล้ว ย่อมยังมีสิทธิครอบครองอยู่ โจทก์มีสิทธิขอให้ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ จำเลยโต้แย้งว่าที่พิพาทอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ให้งดการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อปรากฎว่าที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จำเลยจึงชอบที่จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ได้
พิพากษากลับ ให้จำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ (น.ส.3 ก.) สำหรับที่พิพาทในนามของโจทก์