คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อคดีแพ่งที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ต่อโจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจะต้องผูกพันตามคำพิพากษานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คือต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนตามคำพิพากษา ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้ว่า คดีล้มละลายนั้นคู่ความไม่ต้องผูกพันในผลของคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยในคดีล้มละลายมีสิทธินำสืบว่าตนไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สมควรเป็นบุคคลล้มละลายตามที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงสิทธินำสืบทั่ว ๆ ไปของจำเลยเท่านั้น ไม่ถึงกับนำสืบหักล้างผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2522 โจทก์ผู้ซื้อจำเลยผู้ขาย ได้ทำสัญญาซื้อขายเครื่องสูบน้ำบาดาลจำนวน 3 ชุดรวมเป็นเงิน 435,000 บาท เมื่อครบกำหนดส่งมอบ จำเลยที่ 1ไม่ส่งมอบสิ่งของ โจทก์เตือนจำเลยที่ 1 ก็ไม่ส่งมอบโจทก์บอกเลิกสัญญา ริบเงินประกันสัญญา ปรับจำเลยที่ 1 ถึงวันบอกเลิกสัญญา ทั้งได้เรียกให้ธนาคารทหารไทย จำกัด นำเงินค้ำประกันมาชำระ ดังนั้นจึงคงเหลือเงินเบี้ยปรับจำนวน 354, 090 บาทซึ่งจำเลยทั้งสองต้องรับผิด โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งธนบุรีให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์และศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 354,090บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาทแทนโจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 889/2525 เมื่อคิดดอกเบี้ยรวมกับต้นเงินตามคำพิพากษาแล้วเป็นเงิน 539,987.25 บาท ต่อมาได้มีหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยืดทรัพย์จำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินจะถึงยึดมาชำระหนี้ได้ ทั้งจำเลยได้หลบหนีไปเสียจากเคหสถานที่เคยอยู่พฤติการณ์ของจำเลยเข้าข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่28 พฤษภาคม 2525 ศาลแพ่งธนบุรี พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์ รวมเงินต้นและดอกเบี้ยพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมเป็นเงิน 539,987 บาทเศษ ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 889/2525 ของศาลแพ่งธนบุรี คดีถึงที่สุดศาลแพ่งธนบุรีออกหมายบังคับคดีแล้ว จำเลยทั้งสองยังไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงนำมูลหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เป็นข้อแรกว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีล้มละลายนั้นจำเลยสามารถนำสืบหักล้างได้ว่า มูลหนี้ในคดีที่ศาลแพ่งธนบุรีพิพากษาดังที่ได้ความข้างต้นไม่มีอยู่จริงและจำเลยไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้ดังกล่าว เห็นว่า เมื่อคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 889/2525 ของศาลแพ่งธนบุรี ที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ต่อโจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจะต้องผูกพันตามคำพิพากษานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คือต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์จำนวน 539,987 บาทเศษ ตามคำพิพากษาดังกล่าว ไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้ว่า คดีล้มละลายนั้นคู่ความไม่ต้องผูกพันในผลของคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยในคดีล้มละลายมีสิทธินำสืบว่าตนไม่สมควรเป็นบุคคลล้มละลายตามที่จำเลยกล่าวอ้างนั้น เป็นเพียงสิทธินำสืบทั่ว ๆ ไปของจำเลยเท่านั้นไม่ถึงกับนำสืบหักล้างผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง”
พิพากษายืน

Share