แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเป็นสมาชิกของสหกรณ์ผู้ร้องที่ 2 ที่ได้ชำระแก่ผู้ร้องที่ 2 ไปแล้ว แม้จะเป็นเงินทุนของผู้ร้องที่ 2 แต่ผู้คัดค้านก็ยังมีสิทธิเรียกร้องเอาคืนได้ อีกทั้งมิใช่ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285, 286 เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งให้ผู้ร้องที่ 2 จัดส่งเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้
เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถึงผู้ร้องที่ 2 ขออายัดเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านในสหกรณ์ผู้ร้องที่ 2 โดยให้จัดส่งเงินตามที่อายัดภายใน 10 วัน นับแต่วันถึงกำหนดจ่าย คำสั่งอายัดดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 282 (3) ผู้ร้องที่ 2 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม หลังจากผู้ร้องที่ 2 ได้รับหนังสือแจ้งอายัดแล้ว ผู้ร้องที่ 2 กับเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือโต้ตอบกันเกี่ยวกับเงินที่มีคำสั่งอายัดหลายฉบับ แต่ช่วงเวลาดังกล่าวผู้คัดค้านยังมิได้ขาดจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ผู้ร้องที่ 2 จึงยังไม่มีหน้าที่ต้องส่งเงินค่าหุ้นให้เจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เมื่อผู้คัดค้านขาดจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นนั้น เป็นผลให้เงินค่าหุ้นถึงกำหนดจ่าย ผู้ร้องที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินค่าหุ้นตามคำสั่งอายัด จะอ้างว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอายัดอีกหลายฉบับต่อจากคำสั่งอายัดเดิมถือว่าคำสั่งอายัดเดิมเป็นอันสิ้นผล และผู้ร้องที่ 2 ได้รับคำสั่งอายัดเงินค่าหุ้นครั้งสุดท้ายหลังจากที่ผู้ร้องที่ 2 ได้นำเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านไปหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ของผู้คัดค้านแล้วหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้คัดค้านซึ่งนางอรพินท์เจ้ามรดกระบุในพินัยกรรมให้เป็นผู้จัดการมรดกระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องที่ 1 กับผู้คัดค้านตกลงกันได้และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยผู้คัดค้านตกลงชำระเงินจำนวน 18,415,042.69 บาท ให้แก่ทายาทตามพินัยกรรมของนางอรพินท์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและมีคำสั่งตั้งผู้ร้องที่ 1 กับผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนางอรพินท์ร่วมกันแต่ผู้คัดค้านมิได้ชำระเงินให้แก่ผู้ร้องที่ 1 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ผู้ร้องที่ 1 จึงดำเนินการบังคับคดีแก่ผู้คัดค้าน
ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2542 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีหนังสือถึงผู้ร้องที่ 2 แจ้งอายัดเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนของผู้คัดค้าน ซึ่งผู้คัดค้านมีสิทธิได้รับจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ผู้ร้องที่ 2 จึงได้จัดส่งเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนของผู้คัดค้านจำนวน 265,844.30 บาท (ที่ถูก 265,844.50 บาท) แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ถึงผู้ร้องที่ 2 ขออายัดเงินค่าหุ้น เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนของผู้คัดค้าน แต่ผู้ร้องที่ 2 ได้ปฏิเสธการส่งเงินเนื่องจากผู้คัดค้านไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว หลังจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องที่ 2 ส่งเงินดังกล่าวอีกหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ให้ผู้ร้องที่ 2 ส่งเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านจำนวนเงิน 1,712,360 บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ร้องที่ 2 ขอคัดค้านคำสั่งอายัดและคำสั่งให้จัดส่งเงินของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเนื่องจากผู้คัดค้านเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2524 ได้ส่งเงินค่าหุ้นแก่ผู้ร้องที่ 2 คิดถึงวันที่ 29 มกราคม 2542 ผู้คัดค้านมีหุ้นสะสมอยู่จำนวน 170,440 หุ้น คิดเป็นเงิน 1,704,400 บาท ตามข้อบังคับของผู้ร้องที่ 2 เงินค่าหุ้นของสมาชิกที่ได้ส่งชำระให้แก่ผู้ร้องที่ 2 ถือเป็นเงินทุนของผู้ร้องที่ 2 ซึ่งสมาชิกจะถอนคืนในระหว่างที่เป็นสมาชิกอยู่ไม่ได้ สิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นของสมาชิกยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะขาดจากการเป็นสมาชิกและปราศจากภาระหนี้ที่มีอยู่กับผู้ร้องที่ 2 แต่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2538 ผู้คัดค้านได้ทำสัญญาเงินกู้พิเศษกู้ยืมเงินผู้ร้องที่ 2 จำนวน 2,200,000 บาท ณ วันที่ 29 มกราคม 2542 มีหนี้ค้างชำระเป็นเงินต้น 1,698,570 บาท ดอกเบี้ย 1,116.87 บาท และเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2538 ผู้คัดค้านได้ทำสัญญาเงินกู้สามัญกู้ยืมเงินผู้ร้องที่ 2 จำนวน 1,200,000 บาท ณ วันที่ 29 มกราคม 2542 มีหนี้ค้างชำระเป็นเงินต้น 715,992.99 บาท ดอกเบี้ย 470.79 บาท ในการทำสัญญากู้ยืมดังกล่าว ผู้คัดค้านได้นำหุ้นของผู้คัดค้านจำนำเป็นประกันการชำระหนี้ และนางเพชรรัตน์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 64822, 26430 และ 57326 ตำบลในเมือง (เมืองเก่า) ตำบลในเมือง (พระลับ) และตำบลเมืองเก่า ตามลำดับ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น แก่ผู้ร้องที่ 2 เป็นประกันการชำระหนี้ดังกล่าวด้วย ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2542 ผู้คัดค้านได้ขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 และผู้ร้องที่ 2 อนุมัติให้ลาออกเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2542 ผู้ร้องที่ 2 จึงได้นำเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านหักชำระหนี้เงินกู้ทั้งสองฉบับดังกล่าว โดยหักชำระหนี้เงินกู้พิเศษได้บางส่วน คงเหลือหนี้จำนวน 711,750.65 บาท ส่วนหนี้เงินกู้สามัญสามารถหักชำระได้ทั้งหมดทำให้ไม่มีเงินค่าหุ้นเหลือคืนให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นเอาแก่ผู้ร้องที่ 2 ได้ ผู้ร้องที่ 2 ได้ดำเนินการดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2542 ก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีหนังสืออายัดเงินค่าหุ้น เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ถึงผู้ร้องที่ 2 และที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ว่าผู้ร้องที่ 2 ใช้สิทธิหักเงินค่าหุ้นหลังจากที่ผู้ร้องที่ 2 ได้รับหนังสืออายัดฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2541 และผู้ร้องที่ 2 ไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธินั้นไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกหนังสืออายัดฉบับใหม่ลงวันที่ 9 มีนาคม 2542 ทับหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว โดยยืนยันว่าจะอายัดเฉพาะเพียงเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนเท่านั้น จึงถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ประสงค์จะดำเนินการตามหนังสือที่ออกก่อนหนังสือฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2542 การบังคับคดีเอาจากหุ้นของผู้คัดค้านโดยการยึดหุ้นออกขายทอดตลาดหรืออายัดเงินค่าหุ้น เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องระบุให้ถูกต้องชัดเจนตามระเบียบกรมบังคับคดีและภายใต้กรอบแห่งกฎหมาย จะกลับไปอายัดเงินค่าหุ้นตามหนังสือฉบับเก่าที่ตนเองไม่ประสงค์แล้วให้กระทบสิทธิของผู้ร้องที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ การกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งให้ผู้ร้องที่ 2 ส่งเงินค่าหุ้นดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจบังคับแก่ผู้ร้องที่ 2 ได้ และหนังสือของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ ยธ 0404/(201)/8885 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2542 (ที่ถูก ยธ 0404(201)/38302 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2541) ไม่ใช่คำสั่งที่ใช้บังคับแก่ผู้ร้องที่ 2 ได้ต่อไป
ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องที่ 2 ไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดเงินค่าหุ้นตามคำร้อง เมื่อผู้ร้องที่ 2 ได้รับหมายบังคับคดีและคำสั่งให้อายัดเงินค่าหุ้นของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 และ 311 แล้ว ผู้ร้องที่ 2 ได้ฝ่าฝืนคำสั่งบังคับคดีที่ให้อายัดเงินค่าหุ้นดังกล่าว โดยผู้ร้องที่ 2 ก่อให้เกิดการโอนหรือเปลี่ยนแปลงสิทธิในเงินค่าหุ้นหลังจากถูกอายัดไว้แล้ว ผู้ร้องที่ 2 ได้หักกลบลบหนี้เงินค่าหุ้นโดยพลการ ปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้และไม่เคยแจ้งการหักกลบลบหนี้เงินค่าหุ้นให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2541 ขออายัดเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านจำนวน 1,712,360 บาท เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืน ซึ่งผู้ร้องที่ 2 จะต้องจ่ายให้แก่ผู้คัดค้าน หมายบังคับคดีและคำสั่งให้อายัดเงินดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องที่ 2 เป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทนผู้คัดค้าน เงินค่าหุ้นหาได้ตกเป็นเงินของผู้ร้องที่ 2 ไม่ ทั้งไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 ที่จะไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ข้อบังคับของผู้ร้องที่ 2 ที่กำหนดถึงสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ของการเป็นสมาชิกผู้ถือหุ้นสหกรณ์มิใช่กฎหมายแต่เป็นการจัดวางระเบียบบริหารงานภายในของผู้ร้องที่ 2 เองจึงไม่ผูกพันผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ที่ผู้ร้องที่ 2 อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ออกหนังสือฉบับใหม่ทับฉบับเก่าแล้วนั้น หนังสืออายัดดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือโต้ตอบระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ร้องที่ 2 ไม่อาจถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ประสงค์ที่จะดำเนินการอายัดเงินค่าหุ้น หรือมีความประสงค์ที่จะยกเลิกเพิกถอนการอายัดเงินค่าหุ้น เพราะการเพิกถอนการบังคับคดีจะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 เท่านั้น ส่วนที่ผู้ร้องที่ 2 อ้างว่าผู้คัดค้านได้จำนำหุ้นดังกล่าวเป็นประกันแก่ผู้ร้องที่ 2 นั้น หุ้นของสหกรณ์ถือเป็นเงินทุนของสหกรณ์ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1143 ห้ามมิให้บริษัทจำกัดเป็นเจ้าของถือหุ้นของตนเองหรือรับจำนำหุ้นของตนเอง การรับจำนำหุ้นดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมาย และเป็นการกระทำนอกขอบวัตถุประสงค์แห่งข้อบังคับของผู้ร้องที่ 2 และไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก การกล่าวอ้างถึงการจำนำหุ้นของผู้ร้องที่ 2 เป็นการฉ้อฉลที่ผู้ร้องที่ 2 และผู้คัดค้านได้กระทำขึ้นทั้งที่รู้ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเสียเปรียบ การกล่าวอ้างดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องที่ 1 ถึงแก่ความตาย นายเอกราชและนางนาตยาซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนางอรพินท์แทนที่ผู้ร้องที่ 1 ร่วมกับผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า ผู้คัดค้านมิได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ทำไว้ต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องที่ 1 จึงบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของผู้คัดค้าน โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2541 ถึงผู้ร้องที่ 2 ขออายัดเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านในสหกรณ์ผู้ร้องที่ 2 จำนวนเงิน 1,712,360 บาท เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืน ให้ผู้ร้องที่ 2 จัดส่งเงินดังกล่าวภายใน 10 วัน นับแต่วันถึงกำหนดจ่ายผู้ร้องที่ 2 มีหนังสือฉบับลงวันที่ 18 ธันวาคม 2541 ไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าผู้คัดค้านยังมิได้ขาดจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องที่ 2 ชำระเงินค่าหุ้น และผู้คัดค้านไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องที่ 2 ชำระเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืน ขอให้เพิกถอนการอายัดเงินค่าหุ้น เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืน เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 8 มกราคม 2542 ถึงผู้ร้องที่ 2 ขออายัดเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนของผู้คัดค้านที่มีสิทธิได้รับทุกปี ให้ผู้ร้องที่ 2 จัดส่งเงินดังกล่าวให้ภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันถึงกำหนดจ่าย ผู้ร้องที่ 2 มีหนังสือฉบับลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2542 ถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าผู้คัดค้านเป็นลูกหนี้ผู้ร้องที่ 2 ตามสัญญากู้ยืม ผู้ร้องที่ 2 มีสิทธิหักกลบลบหนี้เงินกู้กับเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนผู้ร้องที่ 2 ขอสงวนสิทธิในการหักกลบลบหนี้และจะส่งเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเฉพาะจำนวนที่เหลือสุทธิจากการหักกลบลบหนี้แล้ว หากเจ้าพนักงานบังคับคดีประสงค์ที่จะอายัดเงินคงเหลือสุทธิดังกล่าวให้แจ้งต่อผู้ร้องที่ 2 อีกครั้ง เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2542 ถึงผู้ร้องที่ 2 ว่าผู้ร้องที่ 2 ไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธิหักเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนหลังจากได้รับหนังสืออายัด ขออายัดเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนของผู้คัดค้านทั้งหมดทุกปี ให้ผู้ร้องที่ 2 จัดส่งเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนของผู้คัดค้านให้ตามที่อายัด ผู้ร้องที่ 2 มีหนังสือฉบับลงวันที่ 31 มีนาคม 2542 ถึงเจ้าพนักงานบังคับคดี จัดส่งเงินปันผลจำนวน 221,209.28 บาท และเงินเฉลี่ยคืนจำนวน 44,635.22 บาท รวมเป็นเงิน 265,844.50 บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามหนังสืออายัด ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ถึงผู้ร้องที่ 2 ว่าผู้แทนของผู้ร้องที่ 1 ได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าผู้คัดค้านได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 แล้ว ขออายัดเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้าน จำนวนเงิน 1,712,360 บาท เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืน ขอให้ผู้ร้องที่ 2 จัดส่งเงินตามที่อายัดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 10 วัน นับแต่วันถึงกำหนดจ่าย ผู้ร้องที่ 2 มีหนังสือฉบับลงวันที่ 28 มีนาคม 2543 ถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าผู้คัดค้านขาดจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2542 ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนจากผู้ร้องที่ 2 คงมีแต่เพียงเงินค่าหุ้นจำนวน 1,712,360 บาท ผู้ร้องที่ 2 ได้นำเงินค่าหุ้นดังกล่าวหักกลบลบหนี้ตามสัญญากู้แล้วและได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองต่อศาลชั้นต้นแล้วผู้คัดค้านยังคงเป็นหนี้ที่เหลืออยู่แก่ผู้ร้องที่ 2 อีกจำนวน 711,750.65 บาท ผู้ร้องที่ 2 ไม่สามารถจัดส่งเงินแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งอายัดได้ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2543 ถึงผู้ร้องที่ 2 ว่าผู้ร้องที่ 2 เป็นเจ้าหนี้จำนองเหนือที่ดินที่นำมาจำนอง มิได้มีสิทธิเหนือเงินค่าหุ้น ขอให้ผู้ร้องที่ 2 ส่งเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านตามที่อายัด ผู้ร้องที่ 2 มีหนังสือฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2543 ถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าในวันที่ผู้คัดค้านขาดจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 เจ้าพนักงานบังคับคดียังมิได้มีคำสั่งอายัดผู้ร้องที่ 2 จึงได้นำเงินค่าหุ้นดังกล่าวหักกลบลบหนี้ตามสัญญากู้แล้ว ผู้ร้องที่ 2 ไม่สามารถส่งเงินค่าหุ้นให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้อีก หลังจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ร้องที่ 2 ต่างมีหนังสือโต้แย้งกันเกี่ยวกับเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านดังกล่าว
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรก คือ คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ผู้ร้องที่ 2 ส่งเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านจำนวน 1,712,360 บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เงินค่าหุ้นจำนวนดังกล่าวที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ได้ชำระแก่ผู้ร้องที่ 2 ไปแล้วนั้นแม้ว่าจะเป็นเงินทุนของผู้ร้องที่ 2 แต่ผู้คัดค้านก็ยังมีสิทธิเรียกร้องเอาคืนได้ อีกทั้งมิใช่ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285, 286 ดังนั้น คำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ผู้ร้องที่ 2 จัดส่งเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไป คือ ผู้ร้องที่ 2 สามารถปฏิเสธการส่งเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี เนื่องจากคำสั่งอายัดเงินค่าหุ้นฉบับเดิมของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีผลบังคับเพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีคำสั่งอายัดฉบับใหม่ถึงผู้ร้องที่ 2 คือ คำสั่งอายัดฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากผู้ร้องที่ 2 ได้หักกลบลบหนี้เงินค่าหุ้นกับเงินกู้ของผู้คัดค้านแล้วดังที่ผู้ร้องที่ 2 กล่าวอ้างหรือไม่ เห็นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีหนังสือที่ ยธ 0404 (201)/38302 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2541 ถึงผู้ร้องที่ 2 ขออายัดเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านในสหกรณ์ผู้ร้องที่ 2 จำนวนเงิน 1,712,360 บาท เงินปันผลและเงินเฉลี่ยคืนขอให้จัดส่งเงินตามที่อายัดภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันถึงกำหนดจ่าย คำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 282 (3) ให้อำนาจไว้ ผู้ร้องที่ 2 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม คือ ต้องส่งเงินค่าหุ้น เงินปันผล และเงินเฉลี่ยคืนตามที่ระบุในคำสั่งอายัดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด หลังจากผู้ร้องที่ 2 ได้รับหนังสือแจ้งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ผู้ร้องที่ 2 กับเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือโต้ตอบกันเกี่ยวกับเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอายัดหลายฉบับ แต่ช่วงเวลาดังกล่าวผู้คัดค้านยังมิได้ขาดจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ผู้ร้องที่ 2 จึงยังไม่มีหน้าที่ต้องส่งเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพราะเงินค่าหุ้นนั้นยังไม่ถึงกำหนดจ่าย แต่เมื่อผู้คัดค้านขาดจากการเป็นสมาชิกของผู้ร้องที่ 2 ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นนั้นเป็นผลให้เงินค่าหุ้นนั้นถึงกำหนดจ่าย ผู้ร้องที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินค่าหุ้นดังกล่าวตามคำสั่งอายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ร้องที่ 2 จะอ้างว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอายัดอีกหลายฉบับต่อจากคำสั่งอายัดเดิมถือว่าคำสั่งอายัดเดิมเป็นอันสิ้นผล และผู้ร้องที่ 2 ได้รับคำสั่งอายัดเงินค่าหุ้นครั้งสุดท้ายคือคำสั่งฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 หลังจากที่ผู้ร้องที่ 2 ได้นำเงินค่าหุ้นของผู้คัดค้านไปหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ของผู้คัดค้านหาได้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของผู้ร้องที่ 2 ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สั่งให้ผู้ร้องส่งเงินค่าหุ้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
ในส่วนที่ผู้ร้องที่ 1 ฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องที่ 2 ไม่เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยว่าผู้ร้องที่ 2 เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนำหรือไม่ ฎีกาของผู้ร้องที่ 1 จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน และให้ยกฎีกาของผู้ร้องที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่ผู้ร้องที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ