คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สินค้าพิพาทโจทก์สั่งซื้อได้ชำระราคาโดยเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับธนาคาร และธนาคารได้หักบัญชีค่าสินค้าจากโจทก์ส่งให้ผู้ขาย มีจำนวนเงินตรงกับใบกำกับสินค้า และตรงกับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบปฏิเสธในเรื่องนี้ ย่อมมีเหตุผลรับฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อ และชำระราคาสินค้าไปตามที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าจริงจึงพอฟังได้ในเบื้องต้นว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จำเลยทั้งสองได้ประเมินราคาสินค้าพิพาทโดยเทียบเคียงกับบัตรราคาซึ่งเป็นไปตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1ที่ 24/2517 บางรายการต้องอาศัยการเทียบเคียงกับบัตรราคาที่ใกล้เคียงและตามประกาศกองตีราคาที่ 1/2517 ที่ 3/2517 และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับราคาศุลกากรครั้งที่ 5 หลักเกณฑ์ตามคำสั่งทั่วไปและการเทียบเคียงตามประกาศการตีราคาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่านั้น หาเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าราคาของสินค้าที่นำเข้าจะต้องเป็นจริงตามนั้นไม่ คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2517 มีระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะนำสินค้าพิพาทเข้ามาถึง 10 ปี อีกทั้งบัตรราคานั้น แม้ว่ากองวิเคราะห์และประเมินราคาร่วมกันกำหนดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ความว่าราคาในบัตรนั้นกำหนดขึ้นโดยมีหลักเกณฑ์อย่างใด และไม่ปรากฏว่าราคาในบัตรนั้นเป็นราคาของสินค้าในปีใด อีกทั้งแม้จะปรากฏว่าบัตรพิพาทได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 ก็เป็นระยะเวลาห่างไกลกับระยะเวลาที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าราคาที่จำเลยที่ 1 นำมาเทียบเคียงนั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลภาษีอากรกลางก็ตามแต่การจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้จะต้องได้ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ปรากฏในคดีสำนวนแรกแม้จำเลยที่ 1 จะให้การไว้ด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมิน แต่ในคดีสำนวนหลัง โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว ศาลภาษีอากรกลางหาได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ อีกทั้งในการสืบพยานของโจทก์ก็ไม่มีพยานโจทก์คนใดเบิกความยอมรับว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว จึงไม่มีข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบที่จะใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวได้ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้การพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงไว้เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด การประเมินของจำเลยมิชอบ ให้เพิกถอนการประเมินดังกล่าว และให้จำเลยรับผ้าไว้เป็นค่าภาษีและคืนเงินค่าภาษีหรือหลักประกันของธนาคารมูลค่า 614,600 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายโจทก์มีหน้าที่ชำระภาษีอากรตามกฎหมายโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะร้องขอยกสินค้าให้จำเลยแทนการชำระภาษีดังที่อ้าง ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ภาษีอากรกับเงินเพิ่มต่าง ๆ อีก 1,731,950.77 บาท ขอให้บังคับจำเลยให้ชำระภาษีอากรและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 1,731,950.77 บาท
จำเลยให้การว่า การประเมินของโจทก์ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยยังไม่ได้ชำระภาษีอากรที่สำแดงตามหลักการที่กำหนดไว้และชอบด้วยกฎหมาย จำเลยยังไม่ได้นำของรายพิพาทออกไปจากอารักขาของโจทก์ที่ 1 เลย จำเลยไม่ประสงค์จะขอรับสินค้าพิพาทเพราะโจทก์ประเมินไม่ชอบและผลักภาระการเก็บรักษาสินค้าพิพาทที่โจทก์ยึดไว้ให้จำเลยชำระ เมื่อจำเลยไม่ได้นำของรายพิพาทออกไปจากอารักขาของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาหลักประกันหรือเงินค่าอากรขาเข้าจากจำเลย เมื่อจำเลยขอยกเลิกใบขนสินค้าและไม่ขอรับของรายนี้ โจทก์ต้องคืนหลักประกันหรือเงินที่เรียกเก็บไว้แล้วให้แก่จำเลยทั้งหมด โจทก์ไม่มีอำนาจยึดหลักประกันหรือเรียกเงินอากรขาเข้าจากจำเลย โดยที่สินค้าจำเลยยังอยู่ในอารักขาของโจทก์ที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
เมื่อรวมการพิจารณาแล้ว ศาลภาษีอากรกลางสั่งให้เรียกบริษัททักราล จำกัด ว่าโจทก์ กรมศุลกากรว่าจำเลยที่ 1 และกรมสรรพากรว่าจำเลยที่ 2
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยตามแบบแจ้งการประเมินที่ กค 0613(ก)/1-5560 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2528 คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำนวนคดีหมายเลขดำที่ 114/2535ของศาลภาษีอากรกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2527 โจทก์ซื้อผ้าผืนทอด้วยใยประดิษฐ์ กำเนิดในประเทศเกาหลีใต้จากบริษัทพาราวีนอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประเทศสิงคโปร์ เข้ามาในราชอาณาจักรรวม 2 รายการ และวันที่ 25 ตุลาคม 2527 โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 107-72146ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โดยมีธนาคารภารตโอเวอร์ซีส์จำกัด ได้ทำหนังสือค้ำประกันหนี้ค่าภาษีอากรที่โจทก์จะต้องชำระเป็นเงิน 614,600 บาท ให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตรวจพบว่าสินค้าผ้าของโจทก์มีชนิดและจำนวนไม่ตรงกับที่สำแดงและสินค้าผ้ารายการที่ 1 มีความยาวเกินกว่าที่โจทก์สำแดงไป 1,104 หลา พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1จึงกักสินค้าไว้และเห็นว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้ไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จึงประเมินราคาสินค้าตามที่ตรวจพบโดยเทียบราคาสินค้ากับบัตรราคาตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1 ที่ 24/2517 หลังจากมีการทบทวนการประเมินใหม่แล้วในที่สุดประเมินราคาสินค้า1,891,893.25 บาท อากรขาเข้า 1,362,163.14 บาท ภาษีการค้า323,615.91 บาท ภาษีบำรุงเทศบาล 32,361.59 บาท จำเลยที่ 1ได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระค่าภาษีอากรรวมทั้งเบี้ยปรับเป็นเงินทั้งสิ้น 1,946,799.12 บาท โจทก์ได้รับแบบแจ้งการประเมินดังกล่าวแล้วแต่ไม่ชำระในกำหนด จำเลยที่ 1 ได้ทวงถามให้ธนาคารภารตโอเวอร์ซีส์ จำกัด ชำระค่าภาษีอากรตามหนังสือค้ำประกันธนาคารดังกล่าวได้นำเงินตามหนังสือค้ำประกันจำนวน 614,600 บาทมาชำระให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว คงเหลือค่าภาษีอากรที่โจทก์ยังคงค้างชำระพร้อมเงินเพิ่มตามกฎหมายเป็นเงิน 1,731,950.77 บาทปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โดยจำเลยทั้งสองแยกอุทธรณ์เป็น 2 ปัญหากล่าวคือ ปัญหาเรื่องประมาณผ้ารายการที่ 1 ต้องฟังตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยที่ 1ตรวจพบโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างว่ามีปริมาณ 13,745 หลา เกินจากที่โจทก์สำแดงไป 1,104 หลา หรือไม่ และปัญหาเรื่องราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทมีเพียงใด สำหรับปัญหาเรื่องปริมาณผ้าที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ขณะที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1ตรวจสินค้าผ้าของโจทก์นั้น ผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ร่วมตรวจอยู่ด้วย เมื่อตรวจพบว่าปริมาณผ้าเกินกว่าที่โจทก์สำแดงไป 1,104 หลาตัวแทนของโจทก์ได้ทำบันทึกยินยอมชำระภาษีอากรที่ขาดตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 59 ย่อมแสดงว่าโจทก์พอใจยอมรับในวิธีการตรวจวัดและผลการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 แล้ว จึงต้องฟังว่าสินค้าผ้าพิพาทมีปริมาณเกินกว่าที่โจทก์สำแดงไป 1,104 หลา เห็นว่าตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 59 นั้นเป็นกรณีที่โจทก์เสนอให้จำเลยที่ 1 ระงับคดีอาญาข้อหาสำแดงเท็จโดยโจทก์ยินยอมที่จะชำระค่าภาษีอากรที่ขาดพร้อมทั้งค่าปรับให้ เจตนาของโจทก์ก็เพื่อให้มีการระงับการดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าข้อเสนอของโจทก์นั้นได้รับการพิจารณาจากจำเลยที่ 1 หรือไม่ อย่างไร เพราะหลังจากที่โจทก์เสนอตามเอกสารดังกล่าวแล้ว ก็ยังปรากฏว่ามีการส่งเรื่องให้กองคดีของจำเลยที่ 1 ดำเนินการกับโจทก์ต่อไปจนในที่สุดพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องโจทก์ในข้อหาหลีกเลี่ยงอากรและสำแดงเท็จ ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยอมรับวิธีการตรวจวัดและผลการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อจำนวนผ้าของโจทก์มีถึง200 กว่าพับ แต่พนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 ตรวจวัดโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างจากผ้าเพียง 6 พับ ซึ่งมีปริมาณเกินกว่าที่ระบุไว้ไปเพียง 4 พับ และปริมาณน้อยกว่าที่ระบุไว้ 2 พับ แล้วถั่วเฉลี่ยว่าผ้าของโจทก์มีปริมาณเกินไป 1,104 หลา เป็นการตรวจวัดที่ไม่ได้ผลแน่นอนจากความเป็นเท็จของผ้าทั้งหมด จึงฟังไม่ได้ว่าปริมาณของสินค้าผ้าของโจทก์เกินไปกว่าที่โจทก์สำแดง
ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ราคาสินค้าพิพาทที่โจทก์สำแดงไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1จึงต้องเทียบราคาสินค้าพิพาทกับบัตรราคาสินค้าชนิดเดียวกันตามแนวปฏิบัติในการตีราคาตามระเบียบและคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1ที่ 24/2517 เป็นการชอบแล้วนั้น โจทก์มีนางสาวพัชรี อเนกลาภเสรีหัวหน้าแผนกนำเข้าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เบิกความว่า สินค้าพิพาทโจทก์สั่งซื้อได้ชำระราคาโดยเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับธนาคารภรตโอเวอร์ซีส์ จำกัด และธนาคารได้หักบัญชีค่าสินค้าจากโจทก์ส่งให้ผู้ขายตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 2 และ แผ่นที่ 13 ถึง 16มีจำนวนเงินตรงกับใบกำหนดสินค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 4 และตรงกับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 66คำเบิกความของนางสาวพัชรีไม่มีข้อน่าสงสัยเพราะเบิกความประกอบเอกสารอีกทั้งจำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบปฏิเสธในเรื่องนี้ย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อและชำระราคาสินค้าไปตามที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าจริง จึงพอฟังได้ในเบื้องต้นว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด หากจำเลยทั้งสองเห็นว่าราคาที่โจทก์สั่งซื้อและชำระไปดังกล่าวมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจำเลยทั้งสองก็จะต้องมีพยานหลักฐานพิสูจน์ให้ฟังได้เช่นนั้นจำเลยทั้งสองคงมีแต่นางสาวศิริพรรณ เหลืองบริบูรณะ เจ้าหน้าที่ประเมินมาเบิกความว่าได้ประเมินราคาสินค้าพิพาทโดยเทียบเคียงกับบัตรราคาเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 8 ถึง 10 ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1 ที่ 24/2517 ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 62บางรายการต้องอาศัยการเทียบเคียงกับบัตรราคาที่ใกล้เคียงและตามประกาศกองตีราคาที่ 1/2517 ที่ 3/2517 และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับราคาศุลกากรครั้งที่ 5 ตามเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 1, 2 และ 7 หลักเกณฑ์ตามคำสั่งทั่วไปและการเทียบเคียงตามประกาศการตีราคาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่านั้น หาเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าราคาของสินค้าที่นำเข้าจะต้องเป็นจริงตามนั้นไม่ คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2517 มีระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะนำสินค้าพิพาทเข้ามาถึง 10 ปี อีกทั้งบัตรราคานั้นแม้จะได้ความจากคำเบิกความของนายอำนวย พยุงพันธ์ ว่ากองวิเคราะห์และปริมาณราคาร่วมกันกำหนดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ความว่าราคาในบัตรนั้นกำหนดขึ้นโดยมีหลักเกณฑ์อย่างใด นางสาวศิริพรรณก็เบิกความว่า ไม่ทราบว่าราคาในบัตรนั้นเป็นราคาของสินค้าในปีใด นางประทิน แสงไทย พยานจำเลยก็เบิกความว่าบัตรราคาเอกสารหมาย ล.2 แผ่นที่ 9 ไม่ตรงกับผ้าพิพาทเพราะชื่อไม่เหมือนกัน อีกทั้งแม้จะปรากฏว่าบัตรพิพาทได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 ก็เป็นระยะเวลาห่างไกลกับระยะเวลาที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามา พยานจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าราคาที่จำเลยที่ 1 นำมาเทียบเคียงนั้นเป็นราคาขายเงินสดซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันโดยไม่ขาดทุน ณ เวลาและที่ที่นำเข้าตามความหมายของราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 โดยอาศัยเทียบเคียงกับบัตรราคาตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1 และประกาศดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เป็นข้อสุดท้ายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลของพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยที่ 1 ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากรนั้นเห็นว่า แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลภาษีอากรกลางก็ตาม แต่การจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้จะต้องได้ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ปรากฏในคดีสำนวนแรกแม้จำเลยที่ 1 จะให้การไว้ด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินแต่ในคดีสำนวนหลัง โจทก์ก็ได้ทำการต่อสู้ไว้ด้วยว่าได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว ศาลภาษีอากรกลางหาได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ อีกทั้งในการสืบพยานของโจทก์ก็ไม่มีพยานโจทก์คนใดเบิกความยอมรับว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว จึงไม่มีข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบที่จะใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวได้ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน

Share