แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 111 เป็นบทบัญญัติที่วางวิธีปฏิบัติของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะต้องกักเงินไว้เมื่อได้รับคำแจ้งความว่าได้มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายก่อนที่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แต่หมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้จะใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เพียงใด ย่อมเป็นไปตามมาตรา 110กล่าวคือ หากการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์ไปก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ การบังคับคดีนั้นย่อมใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2526 โจทก์ได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ผู้ร้องได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งของศาลชั้นต้น เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526 และเมื่อวันที่ 14 มกราคม2526 โจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอให้งดการขายทอดตลาดและจ่ายเงินให้แก่ผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 111 ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาด โจทก์ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกเงินจากการขายทอดตลาดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2801/2525 จำนวน 280,000 บาท จากเจ้าพนักงานบังคับคดีมาไว้ในคดีล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีความเห็นว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจรวบรวมเงินดังกล่าวมาเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายได้
โจทก์ยื่นคำร้องว่า คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 111
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไม่อาจรวบรวมเงินตามคำร้องมาไว้ในคดีล้มละลายได้
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่ง การขายทอดตลาดได้สำเร็จบริบูรณ์ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่เหลือจากหักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมแล้วมารวมไว้เป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลาย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้ว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 110 หมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้นั้น จะใช้ยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไม่ได้ เว้นแต่การบังคับคดีนั้นได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และการบังคับคดีนั้นให้ถือว่าได้สำเร็จบริบูรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ยื่นคำขอเฉลี่ยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 290 วรรค 3อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้นว่า ให้เจ้าหนี้อื่นยื่นคำขอเฉลี่ยก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด เมื่อปรากฏว่าทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ที่ถูกยึดในคดีแพ่งดังกล่าวได้มีการขายทอดตลาดไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526 ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2526การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์ไปแล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย)ย่อมไม่มีอำนาจเรียกให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อหักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมโจทก์ในชั้นบังคับคดีแล้วมาไว้ในกองทรัพย์สินในคดีล้มละลายได้ เพราะการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์ไปก่อนแล้ว
พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 111 ที่ว่าถ้าได้รับคำแจ้งความว่าได้มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายก่อนที่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกักเงินไว้และถ้าต่อไปศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดหักเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม เหลือเท่าใดให้ส่งเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายนั้น เป็นบทบัญญัติที่วางวิธีปฏิบัติของเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ผลของการล้มละลายเกี่ยวกับกิจการที่ได้กระทำไปแล้วตามหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้จะใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เพียงใดย่อมเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 111 หากเจ้าพนักงานบังคับคดีกักเงินไว้แล้วแต่การบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์ไปก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ การบังคับคดีนั้นย่อมใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.