คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนหมายความว่าหากไม่จ่ายค่าจ้างของเดือนใด นับแต่วันสิ้นเดือนนั้นโจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้อง ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 อายุความเรียกร้องค่าจ้างมีกำหนด 2 ปี ตามมาตรา 165(9) โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างค้างจ่ายเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2531 ค่าจ้างค้างจ่ายเดือนสุดท้ายที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ย้อนหลังไป 2 ปี คือค่าจ้างเดือนมีนาคม 2529 ค่าจ้างนอกจากนั้นขาดอายุความ
พ. กรรมการบริษัทจำเลยเบิกความต่อศาลแรงงานกลางว่า จำเลยค้างค่าจ้างโจทก์ตั้งแต่ปลายปี 2527 เป็นเพียงการเบิกความในฐานะพยานจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย ได้ถูกจำเลยเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าจ้างที่ค้าง และเงินอื่น ๆ ตามฟ้องแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยจ้างโจทก์ ไม่มีการเลิกจ้างฟ้องโจทก์เรื่องค่าจ้างค้างจ่ายขาดอายุความ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามฟ้องจากจำเลย
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายและดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่าจ้างก่อนเดือนมีนาคม ๒๕๒๙ ยังไม่ขาดอายุความ เพราะโจทก์ยังทำงานกับจำเลยอยู่อายุความเรียกร้องค่าจ้างต้องนับแต่วันที่โจทก์ออกจากงาน จึงจะถือว่าโจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่ากำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ซึ่งหมายความว่าหากจำเลยไม่จ่ายค่าจ้างของเดือนใด นับแต่วันสิ้นเดือนนั้น โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องให้จำเลยจ่ายค่าจ้างได้นับแต่วันสิ้นเดือนนั้น อายุความเรียกร้องค่าจ้างนั้นมีกำหนดสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๙) โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างค้างจ่ายเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๑ ค่าจ้างค้างจ่ายเดือนสุดท้ายที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ย้อนหลังสองปีคือค่าจ้างเดือนมีนาคม ๒๕๒๙ ค่าจ้างนอกกว่านั้นย่อมเกินกำหนดสองปี อันโจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้จึงตกเป็นอันขาดอายุความแล้ว ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าอายุความเรียกร้องค่าจ้างต้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องนับแต่วันโจทก์ออกจากงานหาชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕(๙) และมาตรา ๑๖๙ ไม่อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า นางพิมพา กุลวิฒิไกร กรรมการบริษัทจำเลยมาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์อยู่ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๗ เพราะฉะนั้น กรณีจึงเป็นปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องอายุความย่อมสะดุดหยุดลง ค่าจ้างค้างจ่ายก่อนเดือนมีนาคม ๒๕๒๙ หาขาดอายุความไม่ ข้อนี้ เห็นว่าคำเบิกความเช่นว่านั้น นางพิมพา กุลวุฒิไกร เบิกความต่อศาลแรงงานกลางในฐานะพยานจำเลย มิได้รับสภาพหนี้แก่โจทก์และมิได้ยอมรับด้วยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์คำเบิกความเช่นว่านั้นก็หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้ หรือเป็นการทำอย่างใดอย่างหนึ่งอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่า จำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ ตามที่โจทก์อุทธรณ์ไม่อุทธรณ์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share