คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3041/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะเรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าอีกร้อยละ 20ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 ตรี นั้นมิได้เฉพาะ 2 กรณี คือ กรณีมิได้ชำระเงินอากรให้ครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนดในวรรคหนึ่งแห่งมาตรา 112 ทวิ ซึ่งสืบเนื่องจากการวางประกันค่าอากรตามมาตรา 112 ประการหนึ่ง กับกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามระเบียบหรือเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดตามมาตรา 40 หรือมาตรา 45 อีกประการหนึ่ง
พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 เห็นว่า จำเลยสำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จึงให้จำเลยวางหนังสือค้ำประกันเพิ่มเติมสูงกว่าจำนวนค่าอากรที่จำเลยได้สำแดงไว้พร้อมทั้งประทับตรา “ตีราคา” ไว้หลังใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า ถือได้ว่าเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่า มีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนค่าอากรสำหรับของที่กำลังผ่านศุลกากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ประเมินราคาและค่าภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระเพิ่ม และแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยมิได้ชำระเงินอากรให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งโจทก์จึงเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าตามมาตรา 112 ตรี ได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยนำสินค้าเม็ดพลาสติกเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 12 เที่ยว โดยยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าสำแดงว่าเป็นสินค้านำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกภายใน 1 ปี นับแต่วันนำเข้าจำเลยแสดงความจำนงขอคืนอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 19 ทวิ นอกจากนี้จำเลยขอใช้สิทธิตามมาตรา 19 ตรี โดยให้ธนาคารค้ำประกันแทนการชำระค่าภาษีอากรที่ต้องเสียโจทก์ที่ 1 ยอมรับหนังสือค้ำประกันของธนาคารและได้ตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยรับไป ครั้นเมื่อครบกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยนำของซึ่งใช้ในการผลิตหรือประกอบเป็นของส่งออกเข้ามาในราชอาณาจักรดังกล่าว จำเลยมิได้นำสินค้าดังกล่าวมาผลิตและส่งออกไปยังเมืองต่างประเทศ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรให้แก่โจทก์ทั้งสอง เจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินแก่จำเลยและธนาคารผู้ค้ำประกันแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมิน ต่อมาธนาคารผู้ค้ำประกันได้นำเงินตามจำนวนที่ได้ค้ำประกันไว้ไปชำระให้แก่โจทก์ที่ 1 คงเหลือจำนวนภาษีที่จำเลยต้องชำระเพิ่มอีกเป็นเงินทั้งสิ้น 6,837,616.74 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยขอให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีอากรและเงินเพิ่มดังกล่าว และเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของอากรขาเข้าที่จำเลยชำระขาดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีอากรและเงินเพิ่มจำนวน 4,886,826 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของอากรขาเข้าที่จำเลยชำระขาดของแต่ละใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ที่ 1 มีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าอีกร้อยละ 20 ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 112 ตรี หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112, 112 ทวิ และ 112 ตรี ประกอบมาตรา 40 และพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482มาตรา 19 ทวิ และ 19 ตรี แล้วเห็นได้ว่าการที่จะเรียกเก็บเงินเพิ่มอากรขาเข้าอีกร้อยละ 20 ตามมาตรา 112 ตรี นั้น มิได้เฉพาะ2 กรณี คือ กรณีมิได้ชำระเงินอากรให้ครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนดในวรรคหนึ่งแห่งมาตรา 112 ทวิ ซึ่งสืบเนื่องจากการวางประกันค่าอากรตามมาตรา 112 ประการหนึ่ง กับกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามระเบียบหรือเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดตามมาตรา 40หรือมาตรา 45 อีกประการหนึ่ง ข้อความในตอนแรกของมาตรา 112 ตรีมีลักษณะเชื่อมโยงกับมาตรา 112 ทวิ และมาตรา 112 จึงเห็นได้ชัดเจนว่า มาตรา 112 ตรี ตอนแรกนี้ใช้บังคับเฉพาะกรณีตามมาตรา 112 ทวิเท่านั้น ไม่อาจนำไปใช้ในกรณีทั่วไปหรือในกรณีของพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 19 ตรี ซึ่งเป็นเรื่องการค้ำประกันอากรขาเข้าที่ต้องเสียสำหรับการนำของเข้าอันเกี่ยวเนื่องกับมาตรา 19 ทวิที่ว่าด้วยสิทธิในการจะขอคืนอากรขาเข้า ส่วนความในตอนหลังของมาตรา 112 ตรี ที่เกี่ยวกับมาตรา 40 และมาตรา 45 นั้น มาตรา 45เป็นเรื่องของการส่งของออกนอกราชอาณาจักร สำหรับมาตรา 40เป็นเรื่องกำหนดเงื่อนไขในการที่ผู้นำของเข้าจะนำของออกไปจากอารักขาของศุลกากรว่าจะต้องยื่นใบขนสินค้าโดยถูกต้องและเสียภาษีอากรจนครบถ้วนหรือวางเงินไว้เป็นประกัน การขอวางเงินประกันให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ผู้ประเมินราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงมีความเห็นว่า สินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้ามีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนอากร เนื่องจากจำเลยสำแดงราคาสินค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จึงให้จำเลยวางหนังสือค้ำประกันเพิ่มเติมสูงกว่าจำนวนค่าอากรที่จำเลยได้สำแดงไว้ พร้อมทั้งประทับตรา”ตีราคา” ไว้หลังใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า กรณีนี้ถือได้ว่าเป็นกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่า มีปัญหาเกี่ยวกับจำนวนค่าอากรสำหรับของที่กำลังผ่านศุลกากรตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 112 แล้ว และเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1ประเมินราคาและค่าภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระเพิ่ม และแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยมิได้ชำระเงินอากรให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง กรณีของจำเลยจึงอยู่ในข่ายที่โจทก์จะเรียกเงินเพิ่มอากรขาเข้าตามมาตรา 112 ตรี ได้

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับเงินค่าภาษีอากรและเงินเพิ่มให้จำเลยชำระแก่โจทก์เพิ่มจำนวน 1,950,790.74 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 6,837,616.74 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share