แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 73 เป็นกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างซึ่งเป็นผู้มีฐานะด้อยในสังคม เพื่อให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างและครอบครัว ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนส่วนใหญ่จะอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกันสังคมดังกล่าว คำว่า “บุตร” จึงต้องหมายถึงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและรวมถึงบุตรอันแท้จริงของผู้ประกันตนซึ่งถึงแก่ความตายด้วย เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรอันแท้จริงของ ป. โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ในกรณีที่ ป. ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 73 (2)
ตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 ที่ประสงค์จะให้ผู้ประกันตนหรือทายาทของผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุน เพื่อเป็นการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนหรือทายาทของผู้ประกันตน ประกอบกับ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1) ก็มิได้กำหนดให้บุตรชอบด้วยกฎหมายนั้นต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายขณะที่ผู้ประกันตนยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เมื่อขณะที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของ ป. ตามคำสั่งศาลแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับเงินบำเหน็จชราภาพของ ป. ผู้ประกันตนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 805/2546 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2546 และให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายและเงินบำเหน็จชราภาพตามกฎหมาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยคณะกรรมการอุทธรณ์ที่ 805/2546 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2546 และให้จำเลยจ่ายเงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายและเงินบำเหน็จชราภาพแก่โจทก์ทั้งสองตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีที่นายประยูรผู้ประกันตนถึงแก่ความตายหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า คำว่า บุตร ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 73 (2) หมายความเพียงบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตนเท่านั้น แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตนก่อนหรือขณะที่ผู้ประกันตนยังมีชีวิตอยู่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายนั้น พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 73 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน ถ้าภายในระยะเวลาหกเดือนก่อนถึงแก่ความตายผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน ให้จ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีตายดังนี้… (2) เงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์นั้น แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ ก็ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน…” เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ไม่ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “บุตร” ว่ามีความหมายอย่างไร ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก็เขียนคำว่าบุตรไว้สองแบบคือ ตามมาตรา 73 (2) ที่กล่าวมาใช้คำว่า “บุตร” ส่วนในมาตรา 75 ตรี เกี่ยวกับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร และในมาตรา 77 จัตวา (1) เกี่ยวกับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพใช้คำว่า “บุตรชอบด้วยกฎหมาย” เมื่อใช้คำต่างกันในพระราชบัญญัติเดียวกันเช่นนี้ แสดงว่ามีความประสงค์จะให้ความหมายของคำว่า “บุตร” แตกต่างไปจากคำว่า “บุตรชอบด้วยกฎหมาย” โดยคำว่าบุตรนั้นถือเอาบุตรตามสภาพความเป็นจริง ซึ่งรวมถึงบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย เมื่อพิจารณาประกอบเหตุผลว่าบทกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างซึ่งเป็นผู้มีฐานะด้อยในทางสังคมเพื่อให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างและครอบครัว ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนส่วนใหญ่จะอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ดังนั้น ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติประกันสังคมดังกล่าวคำว่า “บุตร” ตามมาตรา 73 จึงต้องหมายถึงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและรวมถึงบุตรอันแท้จริงของผู้ประกันตนซึ่งถึงแก่ความตายด้วย เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรอันแท้จริงของนายประยูร โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ในกรณีที่นายประยูรผู้ประกันตนถึงแก่ความตายตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 73 (2) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยประการแรกนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยอุทธรณ์ต่อไปเป็นประการสุดท้ายว่า แม้ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจะได้มีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายประยูร แต่การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดอันเป็นเวลาหลังจากที่นายประยูรผู้ประกันตนถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายก่อนหรือขณะที่ผู้ประกันตนยังมีชีวิตอยู่จึงไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จชราภาพนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามมาตรา 77 ทวิ ถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน หรือผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายในหกสิบเดือนนับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ ให้ทายาทของผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ” วรรคสองบัญญัติว่า “ทายาทผู้มีสิทธิตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ (1) บุตรชอบด้วยกฎหมาย…” ดังนั้น ทายาทของผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตามมาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1) จึงต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตน เมื่อข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ปรากฏว่านายประยูรผู้ประกันตนอยู่กินฉันสามีภริยากับนางกานดาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรสองคนคือโจทก์ทั้งสอง ต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2545 นายประยูรถึงแก่ความตาย และวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 นางกานดากับโจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีตาย แต่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 3 มีคำสั่งว่านางกานดากับโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายและเงินบำเหน็จชราภาพเนื่องจากมิใช่ทายาทที่กฎหมายกำหนด ต่อมาโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางขอให้สั่งให้โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายประยูร และเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำสั่งว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายประยูรบิดาผู้วายชนม์ วันที่ 11 มีนาคม 2546 โจทก์ทั้งสองจึงได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนในเงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายและเงินบำเหน็จชราภาพต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวในขณะที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ โจทก์ทั้งสองจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายประยูรผู้ประกันตน เมื่อพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ที่ประสงค์จะให้ผู้ประกันตนหรือทายาทได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนเพื่อเป็นการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนหรือทายาทของผู้ประกันตน ประกอบกับพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1) ก็มิได้กำหนดให้บุตรชอบด้วยกฎหมายนั้นจะต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายขณะที่ผู้ประกันตนยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เมื่อในขณะที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 56 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายประยูรตามคำสั่งศาลแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพของนายประยูรผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยประการสุดท้ายนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.