แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ไปใช้กับรถยนต์โดยสารโดยที่จำเลยประกอบกิจการรับจ้างขนส่งคนโดยสารและขนส่งสินค้า ถือได้ว่าจำเลยซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์เพื่อใช้ในกิจการของจำเลยต้องด้วยข้อยกเว้นไม่อยู่ในกำหนดอายุความสองปีตามความในตอนท้ายของ ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายต่อหรือนำไปใช้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายหรือไม่ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความห้าปีตามมาตรา 193/33 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2540 จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ร่วมกันซื้อน้ำมันโซลาจากโจทก์เป็นเงินรวม 75,923 บาท โดยให้ลูกจ้างของจำเลยทั้งสองนำรถยนต์ไปเติมน้ำมันจากโจทก์หลายครั้ง เพื่อใช้รับจ้างขนส่งคนโดยสารและรับจ้างบรรทุกสินค้าในกิจการของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองตกลงว่าจะชำระเงินค่าน้ำมันให้แก่โจทก์เป็นรายเดือน แต่ไม่ได้ชำระ โจทก์ทวงถามหลายครั้ง จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 4 สิงหาคม 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสองรับน้ำมันไปเป็นครั้งสุดท้าย ถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 20,878 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 96,801 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 75,923 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า มูลหนี้ตามฟ้องเป็นเรื่องซื้อขาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 กำหนดอายุความไว้ 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 75,923 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 กันยายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 20,878 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ประกอบกิจการขายน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนจำเลยทั้งสองประกอบกิจการรับจ้างขนส่งคนโดยสารและขนส่งสินค้า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2540 จำเลยทั้งสองซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ไปใช้กับรถยนต์ขนส่งในกิจการของจำเลยทั้งสองโดยมีข้อตกลงให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันซื้อ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ไปใช้กับรถยนต์โดยสาร มิใช่เป็นการซื้อจำนวนมาก ๆ แล้วนำไปจำหน่ายต่อ หรือนำไปใช้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่าย แต่เป็นการใช้เฉพาะในกิจการของจำเลยทั้งสอง สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) มิใช่มีกำหนดอายุความห้าปีตามมาตรา 193/33 (5) คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะเป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบซึ่งมีกำหนดอายุความสองปีตามมาตรา 193/34 (1) ก็ตาม แต่ความในตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) บัญญัติกรณีเป็นข้อยกเว้นที่ไม่อยู่ในกำหนดอายุความสองปีไว้ว่า เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง ซึ่งต้องพิจารณาถึงกิจการของลูกหนี้ว่าประกอบกิจการประเภทใดเป็นกรณีไป การที่จำเลยทั้งสองซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ไปใช้กับรถยนต์โดยสารโดยที่จำเลยทั้งสองประกอบกิจการรับจ้างขนส่งคนโดยสารและขนส่งสินค้า ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสองซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์เพื่อใช้ในกิจการของจำเลยทั้งสอง อันเป็นกรณีที่ต้องด้วยข้อยกเว้นไม่อยู่ในกำหนดอายุความสองปีตามความในตอนท้ายของมาตรา 193/34 (1) แล้ว ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยทั้งสองซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายต่อหรือนำไปใช้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ตามที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนดอายุความห้าปีตามมาตรา 193/33 (5) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์